สภาพธรรมจริงๆ ไม่มีชื่อ ไม่ใช่เรื่องราว


    ผู้ฟัง กราบท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพ ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่าปรมัตถธรรมไม่มีชื่อ ก็เลยทำให้เข้าใจต่อมาเลยได้ว่า ขณะที่คิดเป็นเรื่องราวที่เป็นบัญญัติ ในเมื่อปรมัตถ์ไม่มีชื่อ แต่บัญญัตินั้นเรื่องราวเยอะแยะ เพราะฉะนั้นก็แน่นอนได้เลยว่า บัญญัตินั้นเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานไม่ได้ อันนี้ก็อย่างหนึ่ง ก็ทราบว่าขณะที่ปรมัตถธรรมเกิดโดยไม่มีชื่อ ก็คือสติปัฏฐานเกิดเท่านั้น กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า แล้วขณะอย่างนี้เราควรจะเข้าใจได้ไหมว่าขณะเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตานี้ก็ไม่มีชื่อ ตรงนี้เราต้องน้อมเข้ามาเข้าใจอย่างนั้นหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ เพราะว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ขณะที่เรากำลังคิดถึงชื่อ มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ และเราก็ฟังเรื่องราวของสภาพธรรมนี้มานาน เพื่อที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่าขณะนี้ ลักษณะที่เป็นนามธรรม คือสามารถที่จะรู้ เป็นสภาพรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพื่อให้เข้าถึงลักษณะของธรรม

    ผู้ฟัง ตรงนี้ก็แน่นอน อย่างที่ท่านอาจารย์กรุณาให้ความชัดเจนตรงนี้ และอีกเรื่อง ถ้าเผื่อเราไปคิดถึงเป็นสี ไปคิดเป็นคำ ตรงนั้นก็กลายเป็นว่าไม่ได้รู้พิจารณาสภาพของเขาที่เกิดแล้วด้วยใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ นี่คือความต่างกัน ที่จะให้รู้ว่าที่เป็นสติปัฏฐาน คือไม่ใช่ขณะอื่นที่กำลังมีเรื่องราวเป็นอารมณ์ ทั้งๆ ที่ลักษณะของสภาพธรรมขณะนี้ก็มี และถ้าเคยคิดถึงเป็นคำต่างๆ เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็ถือว่าขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน มิฉะนั้นก็แยกไม่ออก ว่าขณะไหนเป็นสติปัฏฐาน ขณะไหนไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่ที่จะรู้ได้จริงๆ ว่าขณะที่เป็นสติปัฏฐาน ขณะนั้นไม่มีเรื่องราวไม่มีชื่อ แต่มีลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังเริ่มที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องทีละเล็ก ทีละน้อย จนกว่าจะหมดความสงสัย ขณะนั้นไม่ใช่ว่าโดยเรื่องราวแต่ว่าหมดความสงสัยในความเป็นธรรม ทั้งนามธรรม และรูปธรรม

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็อย่างที่กล่าวแล้ว คือว่าต้องให้เข้าใจก่อนว่า ธรรมตรงนี้ไม่มีชื่อ แต่ขณะนี้ก็ยังเป็นเรื่องของสภาพคิดนึก แล้วพอปัญญากล้าแกร่งขึ้นมา ก็จะรู้ได้ตรงๆ อย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ โดยที่สภาพที่ไม่มีชื่อก็กำลังปรากฏทุกขณะ ตัวธรรมจริงๆ ไม่ใช่ชื่อ

    ผู้ฟัง กราบเรียนถามท่านอาจารย์ต่อ ฟังจากคำบรรยาย ท่านอาจารย์พูดถึงสติ กล่าวบอกว่า ตามระลึกสิ่งที่เกิดแล้วปรากฏในขณะนั้น ตามระลึกถึงที่เกิดแล้ว ขอให้เข้าใจเป็นเรื่องราวหน่อย ก็คือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา เกิดแล้ว คือจักขุวิญญาณเกิด แล้วก็มีสีเป็นอารมณ์ ปรากฏในขณะนั้นก็หมายความว่าสตินั่นแหละ เกิดขึ้นในชวนจิตนั้นแหละ รู้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ขณะนี้ ตรงนี้

    ท่านอาจารย์ ขณะนี้ด้วย ถ้าขณะนี้ทุกคนก็ทราบ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตา ยังไม่ไปทางไหนเลย มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ตามรู้คือค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะเกิดแล้ว ถ้ากล่าวโดยปริยัติ ทางปัญจทวาร มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ ทางมโนทวารซึ่งเกิดสืบต่อ เราไม่กล่าวถึงวาระไหนเลย สุดปัญญาที่จะไปกล่าวว่าวาระไหน เพราะเหตุว่าสภาพธรรมเกิด-ดับ เร็วแสนเร็ว เพียงแต่ว่าทางมโนทวาร ซึ่งปกติก็เกิดต่อจากทางปัญจทวาร มีรูป คือตามรู้รูปที่ปรากฏนั้นทันที เพราะฉะนั้นจะไม่ห่างไกลจากสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ห่างไกลจากสิ่งที่กำลังถูกเห็น และสภาพเห็นในขณะนี้ คือสามารถที่จะรู้สิ่งที่ปรากฏนั้นเอง


    หมายเลข 3204
    3 ก.ย. 2567