จำนวน กับ กิจการงานของจิต
ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์สมพรกล่าวว่า ๗ ขณะนี้ หมายความว่าเพื่อสะสมต่อไปใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ที่แสดงขณะ ว่ากี่ขณะ ก็เพื่อให้รู้กิจการงานหน้าที่ของจิตในขณะนั้น เช่น ปฏิสนธิจิต จะมีได้กี่ขณะ ต้องขณะเดียว เพราะทำกิจต่อจากจุติจิตของชาติก่อน ก็ต้องเป็นขณะนั้นขณะเดียว พอปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว กรรมก็ทำให้จิตประเภทเดียวกับปฏิสนธิเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ โดยทำภวังคกิจ ไม่ใช่ทำทัสสนกิจ ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่จิตอื่นเลย นอกจากภวังคกิจ นับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นไม่แสดงจำนวน แต่ปฏิสนธิจิตแสดง และต่อกัน หลับสนิท ภวังค์ไม่มีการนับได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่วิถีจิต ขณะนี้ที่มีภวังค์เกิดคั่นวาระหนึ่ง ระหว่างวาระที่เห็น กับวาระที่ได้ยิน ก็ไม่ทราบว่ากี่ขณะ เพราะฉะนั้นจึงไม่แสดง แต่ที่แสดง เช่นเวลาที่จะเป็นวิถีจิต หมายความว่าเริ่มที่จะรู้อารมณ์ ที่ไม่ใช้อารมณ์ของภวังค์ ถ้ากล่าวโดยย่อก็เหมือนกับว่ากำลังหลับสนิทแล้วตื่น กำลังหลับสนิท ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรเลย มีอารมณ์เดียวกับปฏิสนธิจิต แต่ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างนั้นไม่ว่าจะในภพภูมิไหน เกิดมาแล้วจะหลับสนิทไปอย่างเดียวเป็นไปไม่ได้เลย ในนรกปฏิสนธิจิตเกิด แล้วเป็นภวังค์ ก็ไม่ต้องรับผลของกรรมใดๆ ทั้งสิ้นเลยหรือ ก็ไม่ใช่ แต่มีทางที่กรรมจะให้ผล ทำให้วิบากเกิดขึ้น เป็นผลของกรรม หรือว่ามีการคิดนึกเกิดขึ้นจากการสะสม เพราะบางทีเราก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่เราคิด เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็เป็นจิตที่รู้อารมณ์ทางใจ ไม่ใช่อารมณ์ของภวังค์
เพราะฉะนั้นจึงแสดงว่า สำหรับปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิต ไม่ใช่วิถีจิต เพราะเหตุว่าไม่ได้อาศัยทางหนึ่ง ทางใดรู้อารมณ์อื่น ที่ไม่ใช่อารมณ์ของปฏิสนธิ และภวังค์ เพราะฉะนั้นทางตาขณะนี้ ไม่ใช่ภวังค์ แต่ก่อนเห็นต้องเป็นภวังค์ และก่อนที่จะเป็นจิตเห็นได้ทันที ภวังค์ต้องไหว ขณะหนึ่ง และก็เป็นปัจจัยให้ภวังคุปัจเฉทะ คือภวังค์สุดท้ายเกิดขึ้น หลังจากนั้นแล้วต้องเป็นวิถีจิต นี่คือเราสามารถที่จะรู้ได้ ว่าขณะนี้เป็นวิถีจิต ซึ่งก่อนนั้นเป็นภวังค์ เเต่ก็ไม่สามารถจะรู้ภวังค์ได้ และวิถีจิตแรกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คือปัญจทวาราวัชชนจิต วิถีจิตแรกทางมโนทวาร คือมโนทวาราวัชชนจิต จิตทั้ง ๒ นี้เป็นกิริยาจิต เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็จะมีกิริยาจิต ๒ ดวงนี้หรือ ๒ ประเภทนี้ เพราะว่าต้องเกิดก่อนเป็นวิถีจิตแรก และหลังจากนั้นจึงจะเป็นจิตเห็น หรือจิตได้ยิน ก็แล้วแต่ว่าอารมณ์ใดกระทบปสาทรูปใด