วิบากของมโนกรรมกับการปฏิสนธิในกามภูมิ
คุณอุไรวรรณ กรุณายกตัวอย่างวิบากของมโนกรรม ซึ่งจะต้องเป็นไปในทวาร ทั้ง ๕ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถ้าเป็นวิบากคือผลของกรรม จะทราบได้ว่าทำกิจอะไรบ้าง คือ ๑ ทำปฏิสนธิกิจ ที่เราเกิดมาในชาตินี้ ที่เป็นมนุษย์เป็นผลของกุศล ไม่ทราบว่าเป็นผลของทานหรือผลของศีล หรือผลของการฟังธรรม เข้าใจธรรม หรือเป็นผลของการสนทนาธรรม แสดงธรรม ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย แต่รู้ว่าเวลาที่กรรมใดๆ ก็ตามให้ผล ก็จะต้องทำกิจแรก คือปฏิสนธิกิจ หนึ่ง และกิจที่ ๒ คือภวังคกิจ สำหรับอาวัชชนกิจไม่ใช่วิบาก เพราะฉะนั้น นี่เป็นเหตุที่เราจะต้องรู้ว่าจิตไหนเป็นวิบาก วิบากทั้งหมดก็ต้องมาจากกรรมหนึ่งกรรมใด ที่เป็นกุศล และอกุศลกรรม นั่นเอง
ฟังธรรมแล้วเกิดบนสวรรค์ได้ไหม ย่อมได้ กุศลจิตที่ฟังธรรมเข้าใจเป็นปัจจัยให้เกิดในนรกได้ไหม ก็ไม่ได้ ฟังธรรมเข้าใจขณะนี้ เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นพรหมได้ไหม กุศลจิต กามาวจรกุศลเป็นไปในการฟังธรรม จะเป็นปัจจัยให้เกิดเป็นพรหมได้ไหม แค่กามสุขคติ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ถ้าเป็นพรหมต้องเป็นกุศลอีกขั้นหนึ่ง ไม่ใช่กุศลที่เป็นไปในกามภูมิ
ผู้ฟัง จากการสนทนาธรรมกับเพื่อนสหายธรรม พูดถึงการตายของมนุษย์ การจะไปสวรรค์หรือไปนรก อยู่แค่ขณะจิตสุดท้าย คือนึกถึงกุศลหรืออกุศล ผมก็แย้งว่าไม่น่าจะใช่
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่นึกถึง จิตก่อนตายเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เหตุต้องตรงกับผล ถ้าเป็นอกุศลกรรมให้ผลคือทำให้อกุศลวิบากเกิด ถ้าเป็นกุศลกรรมก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิด และอะไรที่จะไม่ตรง
ผู้ฟัง คือ คนที่จะไปนรกหรือไปสรรค์เพียงขึ้นอยู่กับจิตขณะสุดท้ายก่อนตาย
ท่านอาจารย์ ซึ่งแล้วแต่กรรม ซึ่งเป็นกรรมที่จะทำให้ปฏิสนธิ กรรมใดที่จะเป็นชนกกรรม ก็เป็นปัจจัยให้จิตก่อนจุติเศร้าหมองหรือผ่องใสตามอารมณ์ที่ปรากฎในขณะนั้น ถ้าอารมณ์ที่ดี ปกติแล้วก็เป็นโลภะใช่ไหม แต่ว่าถ้าเป็นกุศลกรรมให้ผล และก็มีอารมณ์ที่ดี ดอกไม้ทิพย์บนสวรรค์ หรืออะไรก็ตามแต่ ที่จะปรากฎจริงๆ จิตขณะนั้นไม่ได้เป็นโลภะ เพราะกุศลกรรมเป็นปัจจัยที่จะให้กุศลวิบากเกิด เพราะฉะนั้นขณะนั้นกุศลจิตต้องเกิด
ผู้ฟัง ถ้าเป็นโลภะก็ไม่น่าจะเป็นอารมณ์ดี
ท่านอาจารย์ ปกติที่ไม่ตาย ปกติเราเป็นโลภะ ใช่ไหม ถ้าเห็นอารมณ์ที่น่าพอใจ แต่ถ้าถึงวาระที่ใกล้จะตาย กรรมหนึ่งจะเป็นชนกกรรม ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดในชาติต่อไป กรรมนั้นแหละจะเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดก่อนจุติ ไม่ว่าอารมณ์ที่ปรากฎนั้นจะเป็นอารมณ์อะไร ชาติก่อนเป็นอย่างนี้ กลับไปรู้อีกไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ด้วย ก่อนที่จะตายจริงๆ กุศลจิตหรืออกุศลจิตเกิดก่อนจุติจิต ไม่มีใครสามารถรู้ได้