เวทนาเจตสิกก็เป็นอินทรีย์
ถ้าศึกษาต่อไปจะทราบว่าสภาพธรรมที่เป็นอินทรีย์ ไม่ใช่แต่เฉพาะจิต เวทนาทุกอย่างเป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ด้วย อุเบกขาเวทนาก็เป็นอุเบกขินทรีย์ โสมนัสเวทนาก็เป็นโสมนัสสินทรีย์คือความรู้สึกเป็นใหญ่ เราจะเห็นได้ว่าเวลาที่เรามีความรู้สึกเกิดขึ้น ความรู้สึกสำคัญยิ่งกว่าจิตเสียอีก ขณะนั้นจิตแม้ว่าเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ แต่ว่าความรู้สึกนั้นทำให้ถ้าเป็นสุขเวทนา ความรู้สึกก็จะเป็นสุข สภาพเจตสิกอื่นๆ ก็ไม่มีสภาพใดเลยซึ่งจะเฉยหรือว่าเป็นทุกข์ เวลาที่โทมนัสเวทนาเกิด เจตสิกทั้งหมดที่เกิดร่วมด้วยเป็นไปตามความรู้สึกที่โทมนัส แม้แต่จิตซึ่งเป็นสภาพที่เป็นใหญ่ในการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างในขณะใดที่เวทนาชนิดหนึ่งชนิดใดเกิดปรากฏอย่างแรง ไม่มีใครนึกถึงสภาพของจิตเลย หรือแม้แต่ในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตามี เราไม่สนใจว่าจิตกำลังเป็นสภาพรู้หรือเห็นสิ่งนี้ แต่เราสนใจในสิ่งที่ปรากฏทันที
เพราะฉะนั้นจิตเกิดดับตั้งแต่เกิดจนตาย โดยที่ไม่มีใครรู้ลักษณะของจิตว่า ถ้าจิตไม่เกิด เจตสิกก็เกิดไม่ได้ ความรู้สึกต่างๆ ก็เกิดไม่ได้ หรือว่าจิตเองจะเกิดก็ต้องมีเจตสิกอื่นๆ เป็นปัจจัยทำให้จิตเกิดในขณะนั้น เพราะว่าสภาพธรรมที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ไม่รู้ก็คิดว่าเกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ไปหาเหตุ หรือว่าไม่สามารถที่จะรู้เหตุได้ แต่ว่าผู้รู้สามารถที่จะรู้ได้ว่า จิตไม่ใช่มีอยู่ก่อน แต่เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย เจตสิกก็เหมือนกัน เกิดเมื่อมีเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้นสภาพธรรมใดก็ตามที่ปรากฏ ต้องมีปัจจัยคือสภาพธรรมอื่นที่อาศัยกันเกิดขึ้นในขณะนั้น มีทั้งจิต ทั้งเจตสิก แล้วแต่ขณะนั้นลักษณะใดจะเป็นอินทรีย์