รูปเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยแก่โลภะ


    สำหรับรูปทั้งหมด รูปที่ดีเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยแก่โลภมูลจิต รูปที่ดีจะเป็นปัจจัยแก่กุศลจิตได้ แต่ไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยให้แก่กุศลจิตลองคิดดูในชีวิตประจำวันซิว่าจริงไหม นี่เป็นชีวิตประจำวันซึ่งถ้าท่านผู้ฟังไม่พิจารณา จะไม่ทราบเลยว่า จิตของท่านเป็นกุศลหรืออกุศล ในขณะที่มีรูปนั้น ๆเป็นอารมณ์

    ทุกท่านชอบรูปที่ดี เป็นโลภะหรือเป็นกุศลในขณะนั้น เป็นโลภมูลจิต

    เวลาที่มีรูปที่ดีแล้วสละรูปนั้นให้บุคคลอื่นขณะนั้นเป็นกุศลจิต เพราะเหตุว่าท่านไม่ได้ติดในรูปนั้น เพราะฉะนั้นรูปที่ดีเป็นรูปที่มีกำลังทำให้เกิดความต้องการทำให้เกิดการแสวงหาได้ เพราะฉะนั้นรูปที่ดีเป็นที่ปรารถนา เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของโลภมูลจิต แต่เวลาที่ท่านจะสละรูปนั้น ในขณะนั้นเป็นกุศลเพราะฉะนั้นรูปที่ดีทั้งหมดไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศล แต่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของอกุศล

    นี่เป็นชีวิตประจำวันเหมือนกัน ไม่ว่ารูปใดก็ตามที่ท่านแสวงหาทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ ในขณะนั้นให้ทราบว่า จิตที่กำลังแสวงหาหรือต้องการจะเป็นกุศลไม่ได้ ต้องเป็นอกุศล

    ท่านผู้ฟังไม่เคยคิดหรือว่า จะเป็นกุศลบ้างหรือเปล่า ? สำหรับการพอใจในรูป หรือการแสวงหาการต้องการในรูปอย่างเช่นพระพุทธรูปหรือพระเครื่องก็ตาม เป็นรูป เป็นวัตถุ ขณะนั้นท่านคิดว่าเป็นกุศลหรือเป็นโลภมูลจิต ถ้าเกิดความต้องการแสวงหาขึ้น พิจารณาไหมคะ ถ้าไม่พิจารณาก็จะไม่ทราบคิดว่าจิตในขณะนั้นเป็นกุศลอีกแล้วทั้งๆ ที่สภาพธรรมแท้จริงแล้วเป็นอกุศล แต่เมื่อไม่เข้าใจความละเอียด ถ้าไม่ตรวจสอบกับเรื่องของปัจจัย จะไม่ทราบเลยว่า แท้ที่จริงแล้วในขณะนั้นไม่ใช่กุศล เป็นอกุศล เมื่อเห็นพระพุทธรูป ระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาค ในขณะนั้นเป็นกุศลจิตแน่นอน เพราะรูปเป็นอารมณ์ของกุศลจิตได้ แต่รูปไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศลจิต

    การดับกิเลสนี่ยากไหมคะ ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ยังไม่มีข้อสงสัยอะไรในเรื่องนี้เลยหรือคะ ในเรื่องที่ว่ารูปไม่เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของกุศล แต่รูปเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัยของอกุศล คือ ของโลภมูลจิตเท่านั้น

    อารัมมณปัจจัยหมายความถึงสิ่งที่เป็นอารมณ์ของจิตและเจตสิกโดยเป็นสิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ในขณะนั้นสำหรับอารัมมณาธิปติปัจจัยหมายความถึงเป็นอารมณ์ซึ่งเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง

    เวลาที่มีรูปเป็นอารมณ์แล้วกุศลจิตเกิด จะมีการสละวัตถุนั้นเพื่อบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์สุขของบุคคลอื่น จะมีการให้มีการสละออกไม่ใช่มีการติด ในขณะนั้นเป็นกุศลจิต

    ตามปกติธรรมดาทุกท่านปรารถนารูป เป็นโลภมูลจิตส่วนใหญ่แต่ขณะใดก็ตามซึ่งเห็นประโยชน์ของบุคคลอื่น เพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่น แล้วสละวัตถุนั้นให้ในขณะนั้นจึงจะเป็นกุศล แต่ในขณะที่พอใจหรือติด ในขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต เป็นอกุศล

    นี่ต้องรู้ก่อนว่า ขณะใดเป็นกุศล และขณะใดเป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นเวลาที่เป็นอารมณ์ที่ดี ที่พอใจอย่างยิ่ง ขณะนั้นอารมณ์นั้นเป็นอารัมมณาธิปติ ทำให้จิตพอใจอย่างหนักแน่น มีความต้องการ มีการแสวงหา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นโลภะธรรมดา ๆ ตั้งแต่ลืมตาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้โลภมูลจิตเกิดนับไม่ถ้วนจริง ๆ แต่ยังไม่รู้สึกว่ามีความต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ยังไม่รู้ตัวเองว่ามีโลภะ จนกว่าสิ่งที่เป็นอารมณ์นั้นเป็นที่พอใจอย่างยิ่ง อย่างหนักแน่น เป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย ทำให้มีการแสวงหา หรือมีการติดซึ่งในวันหนึ่ง ๆอารมณ์อย่างนี้มีมากไหม อารมณ์ของโลภะมีอยู่เรื่อย ๆ แต่บางอารมณ์เท่านั้นที่เป็นอารัมมณาธิปติของโลภมูลจิต

    ชาญ แล้วของกุศลไม่มีเลยหรือครับ

    ท่านอาจารย์ เวลาที่กุศลจิตเกิด ไม่ติดในวัตถุหรือในรูปนั้น สามารถที่จะสละสิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่นได้ ในขณะนั้นจึงเป็นกุศล แต่เพราะสละไม่ได้ จึงเป็นอารัมมณาธิปติของอกุศลคือ ของโลภะขณะใดที่สละ ขณะนั้นเป็นกุศล มีรูปนั้นเป็นอารมณ์ แต่อารัมมณธิปติหมายความว่า เป็นที่พอใจอย่างยิ่งเวลาที่สละให้ หมายความว่าไม่มีความผูกพัน หรืออารมณ์นั้นไม่มีกำลังอย่างหนักแน่นที่จะให้ติดข้องอีกต่อไป ใช่ไหมคะจึงสละได้ ขณะนั้นเป็นอารมณ์ของกุศลจิตที่สละ แต่ขณะใดซึ่งต้องการแสวงหาพอใจอย่างหนักแน่น ขณะนั้นให้ทราบว่า เป็นอกุศลแน่นอน


    หมายเลข 3279
    29 ส.ค. 2558