ถึงกาลที่บุญกุศลให้ผลได้ฟังพระธรรม
เป็นบุญกุศลของผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ยินคำนี้ “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” เพราะว่าจะถึงกาลหนึ่งซึ่งคำนี้ก็ไม่ได้ยิน ไม่มีทางเลย เมื่อพระพุทธศาสนาหมดแล้ว อันตรธานแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ายังอยู่ในกาล หรือว่าในแหล่งที่มีโอกาสจะได้ยินคำนี้ ก็เป็นลาภอันประเสริฐที่จะรู้ว่า มีผู้หนึ่งซึ่งทุกท่านก็นอบน้อมสักการะในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ
เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินชื่อ แล้วเคารพสักการะ โดยที่ไม่รู้ว่าท่านตรัสรู้อะไร และทรงแสดงธรรมอะไรถึง ๔๕ พรรษา เช้า สาย บ่าย เย็น มากกว่าใครทั้งหมดเลย เกือบจะเรียกว่าทั้งวันทั้งคืน นอกจากเวลาที่ทรงพักผ่อน หรือว่าเวลาที่มีกิจที่จะต้องเดินทางไกล
เพราะฉะนั้นก็น่าอย่างยิ่งที่ว่าจะสนใจว่าพระองค์ตรัสรู้อะไรหรือสอนอะไร ทิ้งคำสอนคำพูดของบุคคลอื่นหมด มุ่งไปหาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ และสอน ซึ่งไม่ยากเกินไปเพราะเหตุว่าพระไตรปิฎกก็มี อรรถกถาก็มี พร้อมให้ศึกษาในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมากเราก็คงจะได้ผ่านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างแล้ว เพราะว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตมาก แต่ว่าความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ฟังแล้วจะได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ทันที ต้องเป็นเรื่องของจิรกาลภาวนา คือการอบรมสะสมอย่างมากทีเดียว อย่างพวกเราก็ทำกุศลมาแล้วในอดีต จึงได้เกิดเป็นมนุษย์ กรรมหนึ่งที่เป็นกุศลทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์ที่ไม่บ้า ใบ้ บอด หนวกด้วย แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม แต่ให้คิดถึงว่าตอนเป็นเด็ก มีใครคิดไหมจะมานั่งอยู่ตรงนี้ จะฟังเรื่องอย่างนี้ แต่ละชีวิตก็ไปแต่ละแบบ แต่เพราะสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งสืบๆ มาจากจิตแต่ละ ๑ ขณะ ๑ ขณะ ถึงกาลที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะมาได้ฟัง ต้องมีการสะสมที่จะมีโอกาสที่ถึงกาลหรือยัง เพราะบางคนบ้านเดียวกันไม่ฟัง วิทยุก็เปิดก็ยังไม่ฟัง เพราะว่าสังขารขันธ์ของเขายังไม่ได้ปรุงแต่งจนกระทั่งถึงกาลที่จะฟัง