เห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กุศลก็เกิดได้


    อ.ธีรพันธ์ การเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กุศลจะเกิดมากกว่าการเห็นเป็นปกติหรือไม่? จะเจริญขึ้นได้หรือไม่? จากการเห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

    อ.อรรณพ ระดับของกุศลก็ต่างระดับกัน กุศลในขั้นที่เมื่อเห็นคนแก่ เป็นต้น หรือคนเจ็บ หรือคนตาย กุศลจิตเกิดได้ เพราะว่าน้อมไปว่าเป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้นคนที่สะสมอัธยาศัยที่กุศลจิตจะเกิด เมื่อเห็นบุคคลที่เป็นคนแก่ คนตาย เหล่านี้ ก็เป็นการสะสมกุศลจิตมา ที่มีอุปนิสัยที่กุศล จะเกิด เพราะว่าบางบุคคลเห็นแล้วก็เกิดโทสะ เกิดอกุศลด้วยซ้ำไป บางคนไม่อยากเห็นคนเจ็บ บางคนไม่อยากมีคนตาย แต่บางคนสะสมอุปนิสัยในความสงบของจิตมาบ้าง ที่เมื่อเห็นบุคคลเหล่านี้แล้ว ก็เกิดกุศลแทนอกุศล

    แต่อย่างไรก็ตาม ระดับของกุศลที่เกิดตรงนั้น ต่างกับระดับกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ที่รู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะในขณะนั้นมีสัตว์ บุคคล เป็นอารมณ์ คนแก่ คนเจ็บ หรือคนตาย เป็นคน และโดยที่มีความเป็นตัวเราด้วย เราก็น้อมไปว่า แม้ตัวเราก็คงเป็นเช่นนั้น เห็นคนตายเวลาเป็นรดน้ำศพ ก็คือความสงบของจิตเกิดได้ แต่ไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่ว่าน้อมไปว่าทุกคนต้องตาย ก็มีมรณานุสติเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นระดับของกุศลในขั้นความสงบ ก็เป็นกุศลที่ดี แต่ว่าไม่ใช่ระดับของ สติปัฏฐาน แต่ถ้าเป็นสติปัฏฐาน ไม่มีแม้คนที่เรากำลังเห็น ไม่มีแม้กระทั่ง ตัวเราที่เป็นคน จะเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏในแต่ละทาง ปัญญาที่รู้ในลักษณะสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละอย่าง แต่ละขณะ เป็นการรู้ความจริง ที่เป็นสัจจะจริงๆ เพราะฉะนั้นกุศลอีกระดับหนึ่ง คือกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ประกอบด้วยสติปัฏฐาน รู้ตรง จึงขัดเกลาความเป็นตัวตนทีละเล็ก ทีละน้อย แต่กุศลที่เป็นขั้นความสงบ แม้ว่าจะเห็นคนเจ็บ คนตาย เป็นต้น เป็นกุศล แล้วก็สงบก็ตาม แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะขัดเกลาความไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนไปได้ เพราะขณะนั้นกุศลนั้นมีสัตว์ บุคคล เป็นอารมณ์ หรือสิ่งที่เนื่องด้วยความเป็นสัตว์ บุคคล เพราะว่ากุศลในขั้นสติปัฏฐานจริงๆ ยังไม่เกิด หรือว่าเกิดแล้วเล็กน้อย ยังไม่มีกำลัง ไม่ชัดเจน

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเพียงความคิดนึกเรื่องสติปัฏฐาน แต่ถ้าสติปัฎฐานเกิด แล้วก็ปัญญาเกิดระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพธรรม ในขณะนั้นขัดเกลา แล้วเราจะเห็นคุณของสติปัฏฐาน ว่าเป็นกุศลที่นำออกจากวัฏฏะจริงๆ เราสงบเมื่อเห็นคนเจ็บ คนตาย เทียบกับผู้ที่เป็นฤาษี ที่ท่านได้ฌาณ จากการที่ท่านมีความสงบจากการที่ท่านเห็นคนเจ็บ คนตาย เหล่านี้ เราเทียบท่านไม่ได้เลย ท่านไปถึง พรหมโลก แต่ท่านก็ออกจากวัฏฏะไม่ได้ แต่สติปัฏฐาน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเป็นอารมณ์ มีสภาพธรรมในขณะนั้นเป็นอารมณ์ เป็นระดับกุศลที่จะออกจากวัฏฏะจริงๆ

    แต่ว่าเราติดอยู่ในวัฏฏะอยู่มาก เป็นไปในกุศลบ้าง ในอกุศลบ้าง ก็เป็นไปในปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร การศึกษาพระธรรม หรือว่าการศึกษาในเรื่องของสติปัฏฐาน ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เจริญกุศลในขั้นอื่น ขั้นทานมีอุปนิสัยเป็นไปในทาน ก็เป็น เป็นไปในศีล หรือเป็นไปในความสงบจากการที่เห็นคนเจ็บคนตาย แล้วเป็นกุศล ไม่ห้ามเลย แต่ว่ากุศลขั้นสติปัฏฐานหรือวิปัสสนา จะเกิดขึ้นเมื่อไร สถานการณ์ใดก็ได้ อย่างเมื่อเช้าเราฟังรายการที่ท่านอาจารย์บรรยายตอน ๖ โมงเช้า ท่านกล่าวถึง การบรรลุธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์ก่อนที่จะบรรลุบางท่านก็ด่างพร้อย มีอกุศลจิต แล้วก็เตือนให้ท่านได้พิจารณาธรรม ที่ท่านยืนอยู่ที่ประตูเรือน แล้วท่านก็เจริญวิปัสสนา ยังปัจเจกโพธิญาณให้เกิด บางท่านก็เห็นคนเจ็บ คนตายเหล่านี้ กุศลในขั้นความสงบก็เกิด ความสลดใจก็เกิด แต่แค่นั้นไม่พอ เพราะเป็นกุศลที่เป็นไปในวัฏฏะ

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าเราศึกษาเรื่องสติปัฏฐานแล้วหรือการเจริญสติปัฏฐาน จะหมายความว่ามาแทนที่กุศลขั้นอื่น แต่จริงๆ แล้วกุศลทุกขั้นจะเจริญขึ้น การที่จะสละให้ทาน ก็เป็นไปได้มากขึ้น และเป็นทานที่บริสุทธิ์ขึ้นจากการที่ไม่หวังว่าจะได้ไปเกิดในเทวโลก หรือว่าจะได้รูป เสียง กลิ่น รส ที่ดี มีความมั่นคงในกรรม และผลของกรรม มากขึ้น


    หมายเลข 3288
    3 ก.ย. 2567