ฟังให้เข้าใจจริงๆ ว่าไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ดื้อตรงที่ว่า คิดเรื่องสติปัฏฐาน พยายามหาทางให้ สติปัฏฐานเกิด ลืมว่าเป็นอนัตตา ทิ้งความคิดที่หวัง คอย พยายาม ไม่ว่าจะก่อนนอน หรือเวลาไหนก็ตาม ที่จะให้เป็นสติปัฏฐาน ไม่สนใจเลย ต้องมีความอาจหาญ ร่าเริง ที่จะเข้าใจถูกว่าเป็นอนัตตา ถ้ายังมีความต้องการ และมีความเป็นเรากั้นอยู่ ก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด
เพราะฉะนั้นต้องทราบจริงๆ ขั้นเข้าใจถูกต้องว่า ที่คุณเด่นพงศ์เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็ตามแต่ ขณะนั้นเป็นคุณเด่นพงศ์ที่เห็น เห็นคนแก่ก็คุณเด่นพงศ์เห็น เห็นคนเจ็บคุณเด่นพงศ์เห็น เห็นคนตายก็เป็นตัวคุณเด่นพงศ์เห็น เข้าใจว่าขณะนั้นได้ประโยชน์จากการเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ไม่ได้ประโยชน์จากการที่จะรู้ว่าไม่มีคุณเด่นพงศ์ อย่างไรๆ ก็ยังเป็นคุณเด่นพงศ์ ที่พยายามอยู่นั่นแหละ ด้วยความเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นต้องฟังจริงๆ แล้วก็ทิ้งความต้องการอันนี้เสีย จะไม่เกิดตลอดชาติก็ไม่เป็นไร ขอให้ค่อยๆ เข้าใจธรรม ค่อยๆ ฟัง และเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดเมื่อไหร่ ก็จะรู้ได้ว่าขณะนั้นความเล็กน้อยของสติปัฏฐานที่เกิดไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำว่าบ่อยๆ อนุปัสสนา เนืองๆ แต่ก็ไม่ใช่ตัวเราที่อยากต้องการ แล้วก็จะไปทำด้วยความเป็นตัวตนอีกนั่นแหละ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการที่เราสะสมการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรามาก จนกระทั่งบางคนหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ถูกความต้องการ ด้วยความเป็นรา ทำให้ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าจริงๆ แล้วขณะนี้ไม่มีใครต้องการอะไรเลย สภาพธรรมก็เกิดแล้ว ใช่ไหม? แล้วก็ถ้าไม่รู้ก็คือไม่สามารถจะทำให้รู้ได้ ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่จะรู้
เราพูดถึงเรื่องวิจิกิจฉา ความสงสัยลักษณะของสภาพธรรม ใครไม่มี? พระโสดาบัน เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงตัวสงสัย ความสงสัย เราบอกได้เลย ลักษณะเป็นอย่างนั้น แต่เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด และดับไป มีความสงสัยในลักษณะของสภาพธรรมนั้น จริงๆ แล้วก็คือตัวสภาวธรรมปรากฏเกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา จะเห็นได้ว่าความเป็นเราติดตามตลอดไปทุกขณะจิต จนกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่เราได้ศึกษามาแล้วทั้งหมด ตัวจริงๆ ก็ปรากฏเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด ลักษณะของสภาพธรรมตัวจริงๆ จะค่อยๆ เกิดตรงกับที่เราได้เรียน ถ้าขณะนั้นไม่รู้ ถ้าสามารถที่จะมีความเข้าใจว่าไม่ใช่เราที่ไม่รู้ สภาพที่ไม่รู้เป็นอย่างนี้มีลักษณะอย่างนี้ ก็จะค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกว่าจะไม่มีเราเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นความสงสัยก็ไม่ใช่เรา ความไม่รู้ก็ไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่ว่าเร็วอย่างนี้ นานก็ได้ แล้วแต่การสะสม อบรม นานแสนนานมากกว่านี้ ยิ่งกว่านี้ คาดไม่ถึงก็ได้ อย่างจากกัปหนึ่งไปอีกกัปหนึ่ง หรืออย่างที่พระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนที่ท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านก็เป็นปกติธรรมดา ไม่มีใครรู้ว่าปัญญาของท่านมากมายแค่ไหนจากการสะสม แต่ก็สะสม อย่างท่านพระสารีบุตร ปัญญาของท่านมากมายแค่ไหนที่สะสมมา หนึ่งอสงไขยแสนกัป แต่เวลาที่ท่านไปดูมหรสพ ก็มีเห็น มีได้ยิน ด้วยความเป็นตัวตน จนกว่าจะได้ฟังท่านพระอัสสชิ ปัญญาที่ท่านได้สะสมมาที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน ก็เกิดขึ้น