มโนทวารวิถี
ท่านอาจารย์ วันนี้ก็คงจะเป็นโอกาสที่จะได้พูดถึงมโนทวารวิถี ปกติเราก็พูดถึงปัญจทวารวิถี คือจิตที่อาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดขึ้น วันนี้ก็ควรที่จะได้ทำความเข้าใจให้ชัดเจนในเรื่องของมโนทวารวิถี ถ้าใช้คำว่ามโนทวารวิถี หมายความถึงจิตที่ไม่ได้อาศัยเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่อาศัยใจ เพราะฉะนั้นก็พิจารณาจากชีวิตประจำวันจริงๆ แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบถูกต้อง แต่ใจคิด ได้ไหม คิดโดยที่ไม่เห็น แต่คิดเรื่องที่เคยเห็นก็ได้ เรื่องที่เคยได้ยินก็ได้
เพราะฉะนั้นสำหรับมโนทวารวิถี ต้องทราบว่าไม่ใช่ภวังคจิต และก็ไม่ใช่ปัญจทวารวิถีจิต และมโนทวารวิถีจิต ก็คือหลังจากที่ภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะดับแล้ว ต้องมีภวังคจลนะ ภวังคุปัจเฉทะ เกิดก่อนวิถีจิต เพราะเหตุว่าเป็นภวังค์ กระแสภวังค์เกิดสืบต่ออยู่เรื่อย แต่เวลาที่จะเป็นวิถีจิต ก็จะต้องเป็นภวังคจลนะ คือไหวที่จะไม่มีอารมณ์นั้นอีกต่อไป และภวัคุปัจเฉทะ ก็คือขณะภวังค์สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ตาม ต้องมีภวังคุปัจเฉทะ แสดงให้เห็นว่าหลังจากนั้นแล้ว ต้องเป็นวิถีจิต ทางหนึ่งทางใด จะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ได้ สำหรับวันนี้ก็เป็นเรื่องของมโนทวารวิถี ก็ต้องมีภวังค์ก่อน ภวังคจลนะ แล้วก็ภวังคุปัจเฉทะ
วิถีจิตแรกทางมโนทวาร คือมโนทวาราวัชชจิต จะเป็นปัญจทวาราวัชชนจิตไม่ได้เลย เป็นจิตที่ไม่ใช่ภวังค์ เพราะฉะนั้นก็นึกถึงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดทางใจ เมื่อดับไปแล้วกุศลจิต และอกุศลจิตก็เกิดสืบต่อ ๗ ขณะ ทำชวนกิจ ไม่ต้องมีกิจเห็น ไม่ต้องมีสัมปฏิจฉันนกิจ ไม่ต้องมีกิจใดๆ ซึ่งกระทำกิจทางปัญจทวาร จากนั้นก็เป็นกุศลจิต และอกุศลจิต อย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งทำชวนกิจ เพราะเหตุว่าถ้าพูดถึงกุศล และชวนกิจ จะเกิดเพียงหนึ่งขณะไม่ได้เลย ที่เป็นกุศลจิต จะต้องเกิดซ้ำสืบต่อกัน ๗ ขณะ ตามปกติ ถ้าเป็นอกุศลก็เช่นเดียวกัน หรือกิริยาจิตของพระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ใช้จิตที่เป็นไปในขั้นของอัปปนาสมาธิ ที่เป็นฌานจิต แล้วก็ชวนจิตจะมี ๗ ขณะ
ขณะนี้ สมมุติว่ารู้สึกขุ่นเคืองใจ เป็นจิตอะไร เป็นอกุศลจิต เกิดกี่ขณะ ไม่มีทางที่จะเกิดเพียงขณะเดียวเลย ให้ทราบว่าอกุศลจิตคือโทสะที่ปรากฎ ใครรู้สึกโกรธ นั้นแหละ ๗ ขณะ สืบต่อเป็นจิตประเภทเดียวกัน ๗ ขณะ แต่ก่อนนั้นถ้าเป็นทางใจ ต้องมีมโนทวาราวัชชนจิตเกิดก่อน เวลาที่เราคิดเรื่องอะไร ทราบไหมว่าขณะที่คิดเป็นกุศลจิต หรือว่าเป็นอกุศลจิต ถ้าคิดที่จะจัดดอกไม้บูชาพระ ขณะนั้นเป็นกุศลจิตเกิดสืบต่อกัน ๗ ขณะ ถ้าขณะที่คิดขุ่นเคืองใจ หรืออยากจะได้อะไร ขณะนั้นเป็นอกุศล ก็เกิดสืบต่อกัน ๗ ขณะ แต่ถ้าเป็นทางมโนทวาร มีวิถีจิตเพียงมโนทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตแรก ต่อจากนั้นก็จะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ทำชวนกิจเกิดดับสืบต่อ ๗ ขณะ เป็นวิถีที่ ๒ แล้วถ้าเกิดต่อจากทางปัญจทวาร ซึ่งรับอารมณ์โดยมี ตทาลัมพนะ ทางมโนทวารซึ่งสืบต่อ ก็จะมีตทาลัมพนะ เป็นวิถีที่๓ แต่สำหรับตทาลัมพนจิต ไม่มีความสำคัญอะไรเลย เกือบจะไม่ต้องกล่าวถึง จริงๆ แล้ว ก็คือถ้าเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีเห็น เป็นวิบาก แล้วก็มีกุศล อกุศล ซึ่งเกิดต่อ ถ้าเป็นทางใจ ก็จะมีกิริยาจิตซึ่งเกิดก่อน แล้วก็เป็นกุศลจิต ตทาลัมพนจิตนี้ไม่มีใครไปรู้ได้ จะมีหรือไม่มีก็ตามแต่ แต่ที่ทรงแสดง ก็ทรงแสดงเพราะทรงตรัสรู้สภาพธรรมโดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง แต่ให้เราเห็นได้ศึกษา แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจชีวิตของเรา ว่าเป็นภวังค์ หลังจากปฏิสนธิ เป็นวิบาก ต่อจากนั้นถ้าเป็นวิบากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิด ดับไปแล้ว ก็ยังเป็นกุศล หรืออกุศล ในสิ่งที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจก็เกิดสืบต่อจากทางปัญจทวารได้ หรือมิฉะนั้นก็เกิดขึ้นโดยที่ว่า ไม่ได้อาศัยสืบต่อจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เลย ทางใจก็สามารถที่จะเกิดได้ โดยเมื่อเป็นภวังคจิต ต้องสิ้นสุดกระแสภวังค์ก่อน และต่อจากนั้นมโนทวาราวัชชนจิต เป็นกิริยาจิต ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย ไม่มีโลภะ โทสะ เกิดร่วมด้วย ดับไปแล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ซึ่งถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เป็นกิริยาจิต เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ใช่พระอรหันต์ เราก็จะทราบได้ว่าการคิดนึกของเรา ก็คิดนึกด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิตนั่นเอง ก็เป็นปกติ ในชีวิตประจำวัน ก็เป็นวิถีชีวิต ที่เป็นวิถีจิต สลับกับจิตที่ไม่ใช่วิถีจิตเท่านั้นเอง