รู้แข็งแล้วจะมีประโยชน์อะไร


    ท่านอาจารย์ เพื่อละ คำนี้ลืมไม่ได้เลย เพื่อละ พอเกิดจะเดิน ต้องการคือไม่ใช่เพื่อละแล้ว เพื่อเราทำให้ได้

    ผู้ฟัง เรื่องศึกษา เมื่อจะแนะนำเรื่องศึกษากับผู้ใด เป็นคำถามแรกเลยที่ผมได้รับ แล้วจะรู้แข็งไปทำไม รู้แข็งแล้วจะละกิเลสได้อย่างไร อันนี้เป็นคำถามแรกๆ หลายๆ ครั้งที่ผมได้รับ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกันจริงๆ แล้วก็อยากจะรบกวนให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายด้วยซ้ำว่า จริงๆ แล้ว คำถามนี้ แน่นอนว่าจะได้รับเป็นคำถามแรก เมื่อได้อธิบายเรื่องการศึกษาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทวนคำถามอีกที

    ผู้ฟัง เขาจะถามเลยว่า รู้แข็งว่าเป็นรูปธรรม นามธรรม รู้แล้วจะได้อะไรรู้แล้วจะละคลายกิเลส บรรลุธรรมได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้แข็ง รู้อะไร ถ้ารู้เห็นอีก แล้วจะได้ประโยชน์อะไร ทั้งหมดที่มีในชีวิตประจำวัน คำถามของเขาว่า แล้วจะได้ประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นเขาไม่เห็นประโยชน์ของการรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เปลี่ยนจากแข็งเป็นเห็น ก็จะมีคำถามว่า ขณะนี้ถ้าเข้าใจเห็นถูกต้อง รู้เห็นว่าเป็นธรรมจะได้ประโยชน์อะไร ไม่เห็นประโยชน์เลยของการที่จะรู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เขาฟังอะไรแล้วจะได้ประโยชน์ เขารู้อะไรแล้วจะได้ประโยชน์ เขาหาคำตอบไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งทางตา ที่เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู เสียงกับสภาพที่ได้ยิน ทางลิ้น รสกับสภาพที่รู้รส ทางจมูก กลิ่นกับสภาพที่รู้กลิ่น แล้วก็ทางกาย เย็น- ร้อน อ่อน- แข็ง ตึง -ไหว กับสภาพที่รู้ และทางใจ กับสภาพที่คิดนึก ถ้าไม่รู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่เห็นว่าการรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีประโยชน์ จะตอบได้ไหมว่ารู้อะไรมีประโยชน์

    ผู้ฟัง เขาอาจจะไป ทำเหมือนอย่างอื่นที่เขาทำกัน นั่งสมาธิ หรือพิจารณากาย

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ไม่รู้ แล้วอะไรมีประโยชน์ รู้อะไรมีประโยชน์ ถ้าไม่รู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ รู้อะไร และประโยชน์คืออะไร เพราะว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เช่น ถ้าทำให้จิตสงบ ขณะนั้นก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้นจะดับกิเลสได้อย่างไร ในเมื่อยังเป็นเรา โดยมากมุ่งไปคิดเรื่องจะสละ การละความติดข้อง แต่ไม่คิดเลยว่าขณะนั้น ตราบใดที่ยังมีเราอยู่ ไม่สามารถที่จะละคลายความติดข้องในศีล ในทาน ในความสงบ ในทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะเหตุว่าเป็นเราทั้งหมด เพราะ ฉะนั้นจริงๆ แล้ว อะไรทำให้เราอยู่ในสังสารวัฏ (ความไม่รู้) หาเจอไหม นายช่างผู้สร้างเรือน โลภะความต้องการ เวลาที่ฟังธรรมต้องการรู้มากๆ ต้องการให้สติสัมปชัญญะเกิด ต้องการให้สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม แต่ไม่ใช่เรื่องละเลย ไม่มีความคิดที่จะละความไม่รู้ ในเมื่อกำลังเห็น คิดไหมที่จะละความไม่รู้ ถ้าเป็นพระอริยบุคคล ที่ท่านได้เป็น พระอริยบุคคลในครั้งอดีต ก่อนนั้นท่านฟังธรรม ท่านก็มีความเข้าใจว่า เพื่อละความไม่รู้ ไม่ใช่เพื่อต้องการเป็นพระสารีบุตร ต้องการเป็นท่านพระอานนท์ หรือว่าต้องการเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่เพื่อต้องการ แต่ขณะนี้ไม่รู้อะไร สิ่งที่มีไม่เคยรู้มาเลย ถ้าไม่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ในสังสารวัฏด้วย เพราะฉะนั้นจึงเห็นคุณของพระธรรม ว่าถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงธรรม ใครจะทำให้เราได้ยินคำว่านามธรรม และรูปธรรม สิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวันทั้งหมด ไม่สามารถจะเข้าใจถูกต้อง ได้เลยว่าไม่ใช่ตัวตน แต่เราข้าม เราต้องการมีตัวเรา ที่จะได้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นก็ถูกครอบงำด้วยโลภะ จริงๆ แล้วแม้แต่หนทาง ก็ไม่รู้ว่าถูกครอบงำด้วยโลภะ ถ้าโลภะไม่ครอบงำจริงๆ เป็นอิสระ แล้วแต่ว่าสติสัมปชัญญะจะเกิดเมื่อไหร่ ก็รู้ว่าต่อเมื่อมีเหตุปัจจัย มีความเข้าใจเรื่องลักษณะของสภาพธรรม ไม่มีการที่เป็นเราที่พยายาม เพราะว่าตราบใดที่เป็นเราที่พยายาม ๑๐ ปีเป็นเรา ๒๐ ปีก็เป็นเรา กี่พันปีก็เป็นเรานั่นแหละที่พยายาม ไม่ใช่เป็นการ รู้ว่าขณะนี้เป็นปกติ แล้วการฟังที่เข้าใจแล้ว ก็จะทำให้มีการระลึกได้ ที่จะเข้าใจถูก แม้เพียงเล็กน้อยในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทำไมเราคิดถึงเรื่องอื่นได้ เราคิดถึงเรื่องอื่นวันหนึ่งมากเลย เห็นอะไรก็คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เห็นดอกไม้คิดถึงเรื่องดอกไม้ เห็นนก ได้ยินเสียงนกก็คิดเรื่องนั้นไป ทำไมเราคิดถึงเรื่องนั้นได้ แต่ทำไมเราจะไม่สามารถรู้ว่า ขณะที่กำลังฟัง รู้ตาม เข้าใจตาม สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งกำลังปรากฏ โดยถูกต้องยิ่งขึ้น ก็เป็นสิ่งที่คิดเรื่องอื่นยังคิดได้ มีความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ แต่ว่าไม่มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งในสังสารวัฎ จะไม่พ้นเลย จากทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นหนทางเดียว ก็คือว่าต้องละความที่เคยคิดถึงสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แล้วก็โลภะจะนำไปสู่หนทางที่ผิดทั้งหมด ไม่ปล่อยโอกาสให้เป็นอิสระ ที่จะมีสติเกิดขึ้นเป็นปกติ และก็ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ถูกครอบงำด้วยโลภะ แต่ปัญญาจะค่อยๆ เห็นโลภะ และจะค่อยๆ ละโลภะ ถ้ารู้ว่าด้วยความต้องการทำให้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย เพราะถึงจะทำยังไง ก็คือเป็นเรานั่นแหละที่ทำ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์พูด หมายถึงว่า ความเป็นเราที่ต้องการที่จะทำ ที่จะ พยายามที่จะละคลายขัดเกลากิเลส

    ท่านอาจารย์ ถูกครอบงำด้วยโลภะ เพราะว่าขณะนั้นเป็นเราต้องการ

    ผู้ฟัง แต่ขณะเดียวกัน การฟังธรรมด้วยความรู้ ความเข้าใจ และละความไม่รู้ นั่นคือหนทาง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แทนที่จะคิดเรื่องต้องการ คิดถึงเรื่องละความไม่รู้ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยการฟังเข้าใจ และก็มีการที่สภาพธรรมนี้ก็ปรากฏอยู่ แข็งก็ปรากฏ เสียงก็ปรากฏ ทุกอย่างก็คิดว่าค่อยๆ เข้าใจ แต่จะเห็นได้ว่าไม่เร็ว เพราะว่าความไม่รู้มีมาก และก็ความต้องการก็เกิดสลับได้มากมาย

    ผู้ฟัง อันนี้คือเป็นคำตอบ ที่ท่านอาจารย์ได้ตอบคำถามที่ว่า การรู้แข็ง รู้เย็น รู้อ่อน ได้ประโยชน์อะไร

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะแข็งด้วย มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นคนนั้นจะไม่เห็นประโยชน์ของการรู้สิ่งที่มีจริงๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้ามีคำถามว่ารู้แข็งแล้วได้ประโยชน์อะไร ก็เท่ากับว่า รู้เห็นแล้วได้ประโยชน์อะไร รู้กลิ่นแล้วได้ประโยชน์อะไร รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงแล้วได้ประโยชน์อะไร

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณมากครับผม


    หมายเลข 3371
    3 ก.ย. 2567