รู้แข็งกับการรู้แจ้งเป็นพระอริยบุคคล


    อ.ประเชิญ พระอริยบุคคลทั้งหลาย ท่านก็ไม่ได้รู้ยิ่งไปกว่านี้ คือไม่ได้รู้ยิ่งไปกว่า เย็น - ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว หรือว่า ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นบอกว่ารู้แข็ง และมีประโยชน์อย่างไร? ก็บอกว่ามีประโยชน์อย่างที่พระอริยท่านได้รับ คือรู้แจ้งอริยสัจธรรม ละโมหะ ละโลภะได้ ขอเป็นคำกล่าวของผมที่ทวนที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวก็แล้วกัน ว่ารู้แล้วก็คือ เป็นพระอริยบุคคลหมดกิเลส เพราะว่าที่ท่านหมดกิเลสก็คือท่านก็รู้สิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ก็ดี หรือที่ปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ก็คือปรมัตถธรรมนั่นเอง หรือกล่าวโดยนัยยะของสัจจะ ก็คือสัจจะที่เป็น ทุกขสัจจนั่นเอง ซึ่งการที่จะประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ละกิเลสก็ต้องรู้สัจจะที่หนึ่งด้วย ถ้าไม่รู้แล้วก็จะละสมุหทัยไม่ได้ จะประจักษ์แจ้งนิโรธไม่ได้ แล้วก็มรรคเจริญไม่ได้ ถ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้ อันนี้ก็เป็นการย้ำที่บางท่านอาจจะตามไม่ทัน ซึ่งจริงๆ ก็มีมาบ่อยใช่ไหมคำถามนี้ ซึ่งหลายท่านก็อาจจะตอบยากเหมือนกัน รู้แล้วมีประโยชน์อย่างไร ก็อย่างที่ท่านอาจารย์ได้เรียนไปแล้ว ว่ามีประโยชน์มากๆ เพราะว่าถ้าไม่รู้แล้วก็ติด ไม่รู้ก็คือหลง แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นโมหะ แล้วก็ยังติด ยังไม่รู้ความจริงตรงนั้น ก็ยังอยู่ในสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นก็ถ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะรู้สัจจธรรม ไม่สามารถที่จะพ้นไปจากทุกข์ได้ นั่นเอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ครบ ปรมัตถธรรม ๔

    ท่านอาจารย์ และข้อความในพระไตรปิฎก ก็จะพบว่าควรรู้ยิ่ง สิ่งที่มีอยู่ในขณะนี้ควรรู้ยิ่ง

    อ.ประเชิญ ท่านใช้คำว่าอภิญญายธรรม ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ก็คือสิ่งเหล่านี้ ไม่นอกไปจากนี้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เห็นประโยชน์ก็ค้านกับพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ แล้วก็ยังหาไม่เจอด้วยว่าถ้าไม่รู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้วจะรู้อะไร? ก็ไม่มีคำตอบ เพราะว่าไม่ใช่ความจริง และสัจจธรรมอยู่ที่ไหน? พูดถึงอริยสัจ และสัจธรรมอยู่ที่ไหน? ถ้าไม่ใช่ขณะนี้


    หมายเลข 3372
    3 ก.ย. 2567