แยกอย่างไรว่าเป็นรูป ตา จิตเห็น


    ผู้ฟัง ผู้เจริญสติปัฏฐานใหม่ๆ ถ้ามโนทวารวิถียังไม่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายมากระทบแล้ว ขณะที่พิจารณา จะพิจารณารูปก็ดี นามก็ดี คล้ายๆ กับว่า น้อมเอาหรือนึกว่า นี่เป็นรูป หรือนี่เป็นนาม เพราะว่าอารมณ์ไม่ปรากฏ จะรู้ได้อย่างไรว่า นี่เป็นรูปารมณ์ นี่เป็นนามเห็น

    เพราะฉะนั้น ในเมื่อแยกรูปารมณ์กับจักขุปสาท กับจักขุวิญญาณ แยกไม่ออก เพราะไม่ปรากฏชัด เพราะฉะนั้น ที่เราพิจารณาว่า นี่เป็นรูป นี่เป็นนาม ก็คล้ายๆ กับนึกเอาเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องยากจริงๆ สำหรับการเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อยของสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถเกิดปัญญาอย่างรวดเร็ว และประจักษ์แจ้งในสภาพที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม อย่าลืมซิคะ ๔ อสงไขยแสนกัป หรือ ๒ อสงไขยแสนปัก หรือแสนกัป หรือถ้าไม่เป็นพระมหาสาวกก็น้อยกว่านั้น แต่ไม่ใช่เมื่อวานนี้กับวันนี้ หรือเดือนก่อนกับเดือนนี้ หรือปีก่อนกับปีนี้ หรือชาติก่อนกับชาตินี้ ที่น้อมไปถูกต้องแล้ว ที่ต้องเริ่มจากการน้อมโดยการคิด แต่ไม่ใช่หมายความว่าต้องคิด แล้วแต่การคิดจะเกิดหรือไม่เกิด แต่ขณะใดที่ยังไม่รู้ชัด ขณะนั้นยังเป็นส่วนของการน้อมด้วยความคิด เพราะเหตุว่ายังไม่ใช่ประจักษ์ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แต่เป็นการถูกต้องที่เริ่มน้อมไปสู่ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จนกว่าความรู้ชัดหรือการประจักษ์แจ้งจะเกิดขึ้น เพราะอาศัยการน้อมไปเรื่อยๆ จากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง เรื่อยๆ ไป มีใครมีวิธีที่จะทำให้พืชที่ต้องอาศัยกาลเวลาเป็นเดือนเป็นปี ให้ดอกให้ผลภายในวันสองวันที่ปลูกได้บ้าง ก็เป็นไปไม่ได้ และยิ่งเป็นปัญญา ก็ยิ่งต้องเจริญยากจริงๆ

    ผู้ฟัง ขณะที่น้อมไป เป็นตัวสติที่ระลึกรู้หรือเปล่าคะ

    ท่านอาจารย์ เป็นค่ะ สติเกิด เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ได้ระลึกที่อื่น แต่กำลังน้อมไปที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ลืมว่า ขณะนี้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตาเป็นของจริง แล้วจะจริงยิ่งกว่านั้นเมื่อปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสภาพธรรมลักษณะหนึ่งที่เพียงปรากฏทางตา ไม่ปรากฏทางอื่น

    การที่เคยมีตัวตน คือตัวเอง และก็มีบุคคลอื่นมากหน้าหลายตา รวมทั้งวัตถุสิ่งต่างๆ ในโลกนี้หลายแสนกัปชาติมาแล้ว กับการที่รู้ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัตถุสิ่งใดๆ เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่งเกิดแล้วดับ เป็นแต่เพียงรูปธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับ เป็นรูปธรรมแต่ละชนิดประชุมรวมกัน และเป็นนามธรรมแต่ละชนิดซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน จึงปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ก็จะต้องอาศัยสติที่จะต้องระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมบ้าง รูปธรรมบ้างแต่ละชนิด แต่ละลักษณะที่กำลังปรากฏจริงๆ จริงหรือเปล่าที่ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล จริงหรือเปล่าที่เป็นนามธรรมแต่ละชนิด คือสภาพเห็นไม่ใช่สภาพได้ยิน ไม่ใช่สภาพคิดนึก ไม่ใช่สภาพที่รู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ จริงหรือเปล่าที่ว่า รูปธรรมแต่ละลักษณะปรากฏแต่ละทาง แล้วก็ดับไป จึงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ขั้นฟัง ขั้นพิจารณา ต้องให้ประจักษ์แจ้งความจริงถึงขั้นยิ่งกว่านี้ คือ ประจักษ์ในสภาพที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลใดๆ ไม่ใช่กำลังเห็นเป็นคน แล้วคนเกิดดับ นั่นยังไม่ใช่การประจักษ์ลักษณะของอนัตตาทางตา จนกว่าสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาไม่ใช่คน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่อ่อน ไม่แข็ง ไม่เย็น ไม่ร้อน กระทบสัมผัสจับไม่ได้ เพียงเห็นได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

    ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องเป็นเรื่องอบรม จากการฟัง การพิจารณา การน้อมระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏไปเรื่อยๆ


    หมายเลข 3448
    28 ก.ค. 2567