จะเกิดเป็นอะไรก็ไม่น่าเป็นห่วง
ผู้ฟัง ตามที่อาจารย์ถึงเรื่องจุติจิต ผมก็ไม่สงสัยว่า วันใดวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่งก็ต้องจุติแน่ทุกคน ที่นี้หวั่นแต่เรื่องปฏิสนธิ เพราะว่าตามปกติ ผู้ที่จุติไปแล้วจะปฏิสนธิต้องประกอบด้วยมารดาต้องมีระดู และบิดาต้องสมสู่ร่วมกัน แต่ประชาชนเดี๋ยวนี้ก็จะปิดกันเสียหมด มาคิดถึงสัตว์เดรัจฉาน ทั้งสัตว์น้ำสัตว์บกมากมายเหลือเกิน หวั่นว่าจะไปปฏิสนธิก็ลำบาก ยิ่งไปอยู่ในพวกสัมมาทิฏฐิยิ่งยาก กลัวจะไปอยู่กับพวกเดรัจฉาน เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เราจะทำอย่างไรดี ถึงจะไปจุติพร้อมกับบิดามารดาร่วมกัน แล้วจิตของเราก็ปฏิสนธิพร้อมกับมารดาพอดี กรรมใดที่จะพาไปครับ
ท่านอาจารย์ เป็นเรื่องของกรรม ซึ่งไม่น่าเป็นห่วงเลย เพราะเหตุว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล และก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะโลกมนุษย์ในชมพูทวีป ในทวีปอื่นก็มีอยู่ ในจักรวาลอื่นก็มีด้วย เพราะฉะนั้น ก็ไม่น่าเป็นเรื่องที่จะต้องวิตกห่วงใยเลย และสำหรับเรื่องของการเกิด ถ้าเกิดในสวรรค์ก็ไม่ต้องอาศัยมารดาบิดา แล้วแต่กรรม แต่ถ้าเกิดในอบายภูมิ ก็อาจจะเกิดในไข่ เป็นอัณฑชะ หรือเกิดในครรภ์ เป็นชลาภุชะ โดยที่ไม่ต้องอาศัยไข่ หรือเกิดเป็นสังเสทชะกำเนิด คือ อาศัยเถ้าไคล้สิ่งสกปรกทั้งหลาย หรือว่าถ้าเกิดในนรก ก็เป็นอุปปาติกะกำเนิด
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องซึ่งได้มีแล้ว และก็ได้เกิดมาแล้ว โดยที่ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไม่มีกรรมเป็นปัจจัย จะไม่มีการเกิด แล้วก็แล้วแต่กรรมใดเป็นปัจจัย เลือกไม่ได้อีกเหมือนกัน สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ในขณะนี้ ทุกคนรู้ว่าต้องตายแน่ แต่ว่ากรรมที่ได้กระทำไว้ มีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม
เพราะฉะนั้นยังไม่ทราบแน่ว่า ถ้าไม่ใช่ครุกรรมว่า จะเกิดที่ไหน ถ้าใครเป็นผู้ที่อบรมเจริญความสงบถึงขั้นฌาน ไม่เสื่อม ฌานจิตคล่องแคล่วมาก สามารถจะเกิดเมื่อไรก็ได้โดยรวดเร็ว เป็นวสี เป็นความชำนาญ จนกระทั่งก่อนจุติจิตจะเกิด ฌานจิตยังเกิดก่อนจุติ ผู้นั้นก็ปฏิสนธิในรูปพรหมภูมิ เป็นพรหมบุคคลชั้นหนึ่งชั้นใดในรูปพรหม ๑๖ ภูมิ ตามระดับขั้นของฌาน ว่าเป็นผลของปฐมฌาน หรือทุติยฌาน หรือตติยฌาน หรือจตุตถฌาน หรือปัญจมฌาน แต่ว่าใครทำบ้างคะ ความสงบของจิตจนกระทั่งถึงขั้นฌาน เพราะเหตุว่าการที่จิตจะบรรลุความสงบขั้นอัปปนาสมาธิที่เป็นฌานจิต ยากแสนยาก ไม่แน่เลยว่าในชาตินี้จะสามารถให้ฌานจิตเกิดได้ และยังเกิดแล้ว ถ้าไม่ชำนาญฌานจิตก็เสื่อม เพราะฉะนั้นฌานจิตทั้งหลายไม่ชื่อว่า อนันตริยกรรม แต่ชื่อว่า ครุกรรม เพราะเหตุว่าเป็นกรรมที่มีกำลังที่จะทำให้ปฏิสนธิในชาติต่อไปถ้าไม่เสื่อม เพราะเหตุว่าไม่ใช่อนันตริยกรรม แต่ถ้าเป็นทางฝ่ายอกุศล อนันตริยกรรมที่ได้กระทำแล้วนั้น แม้ว่าภายหลังบุคคลนั้นจะอบรมเจริญกุศลทุกขั้น แต่แม้อย่างนั้นอกุศลที่เป็นอนันตริยกรรม เป็นกรรมที่ให้ผลโดยไม่มีกรรมอื่นขัดขวาง คือ หลังจากจุติจิตดับแล้ว อกุศลวิบากทำกิจปฏิสนธิในอบายภูมิสืบต่อทันที โดยกุศลอื่นไม่สามารถจะให้ผลคั่นได้
นี่คือความต่างกันของครุกรรม คือ ครุกรรมฝ่ายกุศล ได้แก่ มหัคคตกุศล ได้แก่ ฌานจิต แต่ไม่เป็นอนันตริยกรรม แต่ทางฝ่ายอกุศลแล้ว ครุกรรมเป็นอนันตริยกรรม ซึ่งเมื่อจุติจิตดับแล้วทำให้ปฏิสนธิที่เป็นอกุศลวิบากเกิดสืบต่อทันทีในอบายภูมิ
เพราะฉะนั้นลองพิจารณาถึงชีวิตว่า ผู้ที่ไม่ได้ทำฌานจิต ไม่สามารถจะรู้ได้ว่า เมื่อจุติจิตเกิดแล้วดับไป จะปฏิสนธิที่ไหน