ไม่มีตัวตนแล้วที่ยืนอยู่นี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง ขออนุญาตเรียนถามว่า มีการสนทนาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนากล่าวว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เมื่อคนฟังจบก็ย้อนถามว่า แล้วที่ยืนอยู่นี้มันเป็นอะไร
ท่านอาจารย์ ที่ยืนอยู่มีไหม
คุณศุกล มีครับ
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
คุณศุกล เป็นคน
ท่านอาจารย์ ตรงไหนเป็นคน
คุณศุกล ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารวมกันแล้วเป็นคน
ท่านอาจารย์ รวมแล้วจึงเป็นคน แต่ถ้าไม่รวมแล้วเป็นอะไร
คุณศุกล ยังไม่ทราบว่าจะแยกตรงไหน
ท่านอาจารย์ แต่หมายความว่ามีแน่ๆ แล้วเราเคยว่าเป็นคนด้วย ลองกระทบลองจับดูซิคะ จับเรื่อยมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีอะไร
คุณศุกล จับแขน
ท่านอาจารย์ ที่นั่นหรือคะแขน จับจริงๆ กระทบอะไร
คุณศุกล กระทบเนื้อ
ท่านอาจารย์ เรียกว่าเนื้อใช่ไหมคะ
คุณศุกล เนื้อครับ
ท่านอาจารย์ เอาจริงๆ ไปกว่านั้นอีก กระทบอะไร ถ้าไม่เรียกว่าเนื้อ ลักษณะอะไร
คุณศุกล อันนี้จากการฟัง ศึกษามา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ค่ะ เอาความจริงเดี๋ยวนี้สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย ยังไม่ต้องศึกษา
คุณศุกล มีลักษณะที่ไม่แข็ง แต่อ่อนนุ่ม
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ ใช่ไหมคะ
คุณศุกล มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ ลักษณะที่แข็งหรืออ่อนนุ่ม ไม่เรียกอะไรเลยได้ไหม
คุณศุกล ไม่เรียกก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่เรียกเลย มีจริงๆ ไม่เรียกได้ไหม สิ่งที่มี ไม่จำเป็นต้องเรียก บางทีรถยนต์คันหนึ่ง ส่วนปลีกย่อยในรถยนต์เราก็เรียกไม่ถูก ทั้งๆ ที่มี เรารู้ว่ามี แต่เราเรียกไม่ถูก เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีไม่ต้องเรียกชื่อได้ไหม
คุณศุกล ได้ครับ
ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นประการแรก สิ่งที่มีต้องมี แม้ว่าไม่เรียกชื่อเลย นี่ประการหนึ่ง หรือสิ่งที่มีเคยเรียกชื่อนี้ เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นได้ไหม ได้ อย่างแขน ภาษาไทยเรียกแขน ภาษาอื่นเขาไม่เรียกแขน เรียกภาษาอื่นได้ไหม ได้ แต่แขน หรือสิ่งที่คุณศุกลยึดถือว่าเป็นแขน ลักษณะจริงๆ เพียงแข็ง แข็งมี กระทบสัมผัสแข็ง แข็งมี มีก็ต้องบอกว่ามี ลองกระทบสัมผัสแข็งมีไหมคะ มี สิ่งที่มีนั้นคือแข็ง เป็นรูปชนิดหนึ่ง เป็นความจริง เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มี มีจริงๆ จะบอกว่าไม่มีไม่ได้ สิ่งที่มีนั้นจะเรียกว่าอะไรก็ได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเรียกอย่างนี้ก็ได้ เรียกอย่างอื่นก็ได้ ฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ เราจะต้องเข้าใจเพิ่มขึ้นให้ถูกต้องว่า ลักษณะที่มีจริงๆ นั้นไม่ใช่ตัวตน แข็งก็คือแข็ง ไม่ใช่ตัวตน
ผู้ฟัง แล้วจะตอบเขาว่าอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ก็มีแข็ง แล้วสิ่งที่มีเป็นอะไร ก็ตอบว่ามีแข็ง มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีทุกอย่าง แต่เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ใช่ตัวตน ความหมายว่า ไม่ใช่ตัวตน ที่นี่คือไม่ยั่งยืน แล้วไม่ใช่สิ่งที่บังคับบัญชาได้ ไม่ใช่สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนั้นมี แล้วไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นแต่สภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่สงสัยว่า คนฟังก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่าต้องอาศัยกาลเวลาที่ต้องพิจารณาบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นความจริง
เพราะฉะนั้น มีอีกคำหนึ่ง นอกจากคำว่า ธรรม แล้ว มีคำว่า “ปรมัตถธรรม” และ “อภิธรรม” เพิ่มภาษาบาลีขึ้นมาอีกนิดหน่อย ปรมัตถ์ มาจากคำว่า บรม ปรมัตถธรรม มาจากคำว่า ปรม กับอัตถ์ รวมแล้วเป็นปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมหมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อ สิ่งนั้นก็มี หรือแม้จะเปลี่ยนชื่ออย่างไรก็ตาม สภาพธรรมนั้นก็ยังคงเป็นสภาพธรรมนั้น อย่างภาษาบาลีใช้คำว่า โลภะ ภาษาไทยเราบอกว่า ความติดข้อง ความอยากได้ ความต้องการ ภาษาอังกฤษเรียกอีกคำหนึ่ง ภาษาอื่นก็เปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนลักษณะของโลภะไม่ได้ จะใช้ภาษาอะไรก็ได้ ไม่เรียกก็ได้ แต่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้ นี่คือปรมัตถธรรม
ปรมัตถธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่เรียกชื่อเลยก็ได้ จะใช้ชื่ออะไรก็ได้ จะเปลี่ยนชื่อก็ได้ แต่เปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ที่ว่ามี คือมีปรมัตถธรรม ธรรมจริงๆ จะเรียกก็ได้ จะไม่เรียกก็ได้ จะไม่บอกว่า เป็นตัวตน ไม่บอกว่าเป็นคน ไม่บอกว่าอะไร แต่ลักษณะของรูปก็เป็นรูป ลักษณะของนามก็เป็นนาม