ปฏิสนธิจิตต้องเป็นจิตชาติวิบากเท่านั้น
ท่านอาจารย์ จิตที่ทำปฏิสนธิกิจ เป็นชาติกิริยาได้ไหม หรือเป็นกิริยาก็ได้เป็นกิริยาจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นอะไร
ผู้ฟัง วิบาก
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นวิบากจิตเท่านั้น ปฏิสนธิจิตเป็นกุศลจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ปฏิสนธิจิตเป็นอกุศลจิตได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ต้องเป็นวิบาก นี่เป็นความสำคัญที่เราจะได้รู้ ว่าขณะไหนเป็นผลของกรรม และขณะไหนไม่ใช่ผลของกรรม
ผู้ฟัง แล้วก็วิบากทางปัญจทวาร ที่เป็นทวิปัญจวิญญาณจิต หลังจากนั้นก็เป็นสัมปฏิจฉันนะ แล้วก็สันตีรณะ ๓ อย่างนี้ จะมีลักษณะเหมือนกันไหม เพราะว่าเนื่องจากว่าเป็นวิบากจิต รู้อารมณ์เดียวกันด้วย เป็นชาติเดียวกันรู้อารมณ์เดียวกัน
ท่านอาจารย์ แต่ทำกิจต่างกัน ถ้าทำกิจภวังค์ ปฏิสนธิเป็นอกุศลวิบากภวังคจิตเป็นอกุศลวิบาก เปลี่ยนไม่ได้เลย ภวังค์กับปฏิสนธิจะต้องเป็นอกุศลวิบากประเภทนั้นตลอดไป แต่ว่าพอถึงวิบากอื่น ที่มีชื่อต่างออกไปเพราะเหตุว่าทำกิจต่างกัน สัมปฏิจฉันนจิต ทำภวังคกิจได้ไหม
ผู้ฟัง ทำไม่ได้
ท่านอาจารย์ ทำอะไรได้
ผู้ฟัง ทำวิบาก
ท่านอาจารย์ ทำสัมปฏิจฉันนกิจได้อย่างเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าแม้เป็นวิบาก แต่ว่าต่างกันที่ว่า วิบากที่ไม่ใช่วิถีจิตก็มี วิบากที่เป็นวิถีจิตก็มี สัมปฏิจฉันนะเป็นวิบากที่เป็นวิถีจิต ภวังคจิตเป็นวิบากที่ไม่ใช่วิถีจิต
ผู้ฟัง แต่ทวิปัญจวิญญาณเขารับวิบาก วิบากก็คือรับอารมณ์..
ท่านอาจารย์ ทวิปัญจวิญญาณเป็นวิบาก ทำทัสสนกิจคือทำกิจเห็น
ผู้ฟัง แสดงว่าสัมปฏิจฉันนะไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ไม่เห็น ไม่ได้ทำทัสสนกิจเลย แต่รับรู้สิ่งที่จักขุวิญญาณเห็นต่อ เพราะการเกิดดับสืบต่อของจิตทีละหนึ่งขณะเอง แต่ว่าเร็วมาก ประมาณไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปคิดถึงว่าวาระไหน ขณะไหน ขณะที่กำลังเห็นขณะนี้เป็นจักขุวิญญาณ หรือเป็นสัมปฏิจฉันนะ หรือเป็นสันตีรณะ
ผู้ฟัง ชวนวิถีจะเกิดถึง ๗ ขณะ เราก็รู้สึกได้ว่าเขาเกิดมีขึ้น เช่น โลภะ โทสะ พอจะสังเกตได้ แต่ว่าทางตาเห็นขณะเดียวไม่ทันสังเกตได้
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องไปนับหนึ่งขณะเลย ไม่ต้องไปคิดถึงเลยว่าขณะนี้เห็นหนึ่งขณะที่จะไปรู้ ไม่ใช่ เพียงแต่เริ่มเข้าใจ แม้แต่เพียงแต่เริ่มเข้าใจว่าขณะนี้ที่เห็นเป็นสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ จึงสามารถเห็นในขณะนี้ได้ เพื่อที่จะได้ว่าไม่มีเรา หรือไม่ใช่เราที่เห็น
ผู้ฟัง ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทราบได้ไหมว่าเห็นมีขณะเดียวจริงๆ
ท่านอาจารย์ คงจะไม่ต้องไปนั่งคิดว่านอกจากนั้นมีใครอีก ใครรู้ได้ก็แล้วแต่ปัญญาของบุคคลนั้น