เมื่อไม่ฟังธรรมก็สะสมแต่ความไม่รู้
พระคุณเจ้า ถ้าในกรณีที่เราไม่ได้ฟังธรรม หรือเราฟังธรรม แล้วเราเว้นว่างไปสัก ๕ ปี ๑๐ ปี จะเป็นข้อเสียเกี่ยวกับการจะทำให้สติปัฏฐาน ไม่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ ระหว่างที่ไม่ฟังธรรมนี้อกุศลคงมากเลย แม้ว่าฟังแล้ว กุศลจิตก็เกิดในขณะที่ฟัง แต่เวลาที่ไม่ฟังก็กลับเป็นอกุศลอีกมากมาย เพราะฉะนั้นก็เป็นการสะสมความไม่รู้ และสะสมสภาพธรรมที่ติดข้องด้วย ฟังไม่ได้หมายความว่าฟังเพียงแค่ได้ยิน ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ความจริงสัจจะของสิ่งนั้น แล้วก็มีความเข้าใจในขั้นของการฟัง ซึ่งจะต้องตรงต่อไปอีก เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ได้ไปทำอย่างอื่น ที่จะไม่ให้รู้อย่างนี้
พระคุณเจ้า ในกรณีที่ว่าโลภะเกิดขึ้น หรือโทสะเกิดขึ้น เป็นเพราะว่าบุคคลผู้นั้นไม่มีอินทรียสังวร จึงเกิดขึ้นได้ทางทวาร
ท่านอาจารย์ อินทรียสังวรไม่เกิดกับอกุศลจิต แต่เมื่อกุศลจิตเกิดแล้วมีอินทรีสังวร คือสามารถรู้ลักษณะของอกุศลนั้น เวลาที่อกุศลจิตเกิดไม่มีอินทรียสังวรแน่นอน แต่เมื่อกุศลจิตเกิดเป็นสภาพที่มีจริง อินทรียสังวร เกิดได้ คือ รู้ตรงลักษณะนั้น แล้วก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
พระคุณเจ้า คือที่บอกว่า ให้สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทางเลือกสำหรับให้ทำหรืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ทำไม่ได้เลย ค่อยๆ เข้าใจว่าอะไรสำรวม เราหรือว่าสติสัมปชัญญะ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ใครสำรวม ใครทำได้
พระคุณเจ้า ที่ว่าสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ก็คืออินทรีสังวรกับสติสัมปชัญญะโดยทั่วไปๆ ที่ใช้กันอยู่ นั้นต่างกันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าใช้ทั่วกัน ก็เดินไปไม่หกล้มหรืออย่างไร อันนั้นก็เป็นสติไม่ได้เลย เพราะว่าต้องแล้วแต่ว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรือเปล่า ถ้าเป็นกุศลก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ก็ยังเป็นเรา ถ้าเป็นสติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะ ก็คือมีลักษณะของสภาพธรรมปรากฏ ให้เริ่มเข้าใจในลักษณะนั้น ไม่ใช่ลักษณะอื่น ถ้าแข็งปรากฏ สติรู้ตรงแข็ง ก็จะมีการเริ่มเข้าใจสภาพแข็งไม่ใช่เข้าใจสภาพอื่น นี่เป็นเหตุที่ธรรมแต่ละอย่างที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ละอย่าง แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจลักษณะนั้น ตามความเป็นจริง ด้วยสติที่ระลึกรู้ตรงนั้น
พระคุณเจ้า ที่ระลึกรู้ที่ละขณะ เย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหว รู้ทีละอย่าง เป็นไปได้หรือไม่ที่บรรลุทีละอย่าง แต่มาแบบเร็วมากเลยอะไรทำนองนี้ ขึ้นอยู่กับสติหรือไม่
ท่านอาจารย์ เราคงจะไม่วัดหรือคาดว่าเร็วช้า แต่จะรู้ได้ว่าขณะไหนหลงลืมสติ พอสติเกิดก็ต่อไปหลงลืมสติ ก็รู้ตามความเป็นจริง ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ต่อไปก็รู้ว่าขณะนั้น เป็นสติสัมปชัญญะ
พระคุณเจ้า สติไม่ใช่ตัวคิดนึก ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ สติเป็นสภาพที่ระลึก
พระคุณเจ้า ระลึกก็คือคิดนึกใช่ไหม
ท่านอาจารย์ วิตกเจตสิกเป็นสภาพที่ตรึก
พระคุณเจ้า แล้วสติ
ท่านอาจารย์ สติเป็นสภาพที่ระลึก มีหลายท่าน ขณะที่กำลังคิดจะให้ทาน สติเป็นสภาพที่ระลึกเป็นไปในที่กุศล จะให้ทานอย่างไร ก็วิตกเจตสิกก็ตรึก จะเลี้ยงพระทำบุญให้อาหารเด็กหรืออะไรก็แล้ว แต่ว่าขณะใดที่กุศลจิตเกิดขณะนั้นสติเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นไปในกุศล เวลาที่สติเกิดแล้วต้องเป็นไปในฝ่ายดี
พระคุณเจ้า ขอยกตัวอย่างที่ว่า มีโยมคนในที่นี้ ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ หรือคนตาย ก็แสดงว่าเขามีสติ เพราะเขาระลึก แล้วก็น้อมมาหาตนเป็นต้น แสดงว่าเขามีสติใช่ไหม
ท่านอาจารย์ สติข้้นไหน สติอะไร
พระคุณเจ้า อาจจะเป็นขั้นกัมมัฏฐาน หรือมรณสติ หรืออะไร
ท่านอาจารย์ คนนั้นต้องรู้เอง และขณะนั้นจิตเป็นกุศลหรือเปล่า ระลึกแล้วกลัวก็ได้ ไม่อยากตาย