พุทธประวัติ ๒ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์เสด็จประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นคนตาย ทรงสังเวชพระหฤทัย แล้วเสด็จกลับขึ้นปราสาท แม้วันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ก็เสด็จประพาสพระอุทยาน ทรงเห็นเทพซึ่งแสดงตนเป็นนักบวช พระบารมีที่ได้ทรงบำเพ็ญมา ทำให้พระโพธิสัตว์ทรงพอพระทัยในการบวช ซึ่งใกล้ที่จะบรรลุถึงการตรัสรู้อริยสัจจธรรม
สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชทรงสดับข่าวว่า พระมารดาของพระราหุล ประสูติโอรส ก็ทรงส่งข่าวให้พระโพธิสัตว์ทรงทราบ พระโพธิสัตว์ทรงทราบแล้วตรัส ว่า "ห่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกเกิดแล้ว" พระราชาทรงสดับคำนั้น จึงตรัสว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหลานเราพึงชื่อว่า "ราหุลกุมาร" แม้พระโพธิสัตว์ก็ขึ้นทรงรถนั้น เสด็จเข้าสู่พระนครพร้อมด้วยข้าราชบริพารหมู่ใหญ่ สมัยนั้นนางกษัตริย์พระนามว่า กีสาโคตมี ทรงเห็นพระรูปศิริของพระโพธิสัตว์ กำลังเสด็จเข้าสู่พระนคร ทรงเกิดปิติโสมนัสขึ้น ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
บุรุษนี้เป็นบุตรของมารดาผู้ใด มารดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นบุตรของบิดาผู้ใด บิดาผู้นั้นก็เย็นใจแน่
เป็นสามีของนารีผู้ใด นารีผู้นั้นก็เย็นใจแน่
คือไม่นำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้ใครทั้งนั้น
พระโพธิสัตว์ทรงสดับอุทานนั้นแล้วทรงดำริว่า สตรีผู้นี้ให้เราได้ยินถ้อยคำที่น่าฟังอย่างดี ด้วยว่าเราก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพาน วันนี้นี่แหละ ควรที่เราละทิ้งฆราวาสวิสัย แล้วออกบวช แสวงหานิพพาน ทรงเปลื้องแก้วมุกดาหารที่มีค่านับแสนออกจากพระศอ ประทานแก่เจ้าหญิงกีสาโคตมี ด้วยหมายพระทัยว่า แก้วมุกดาหารนี้จงเป็นสักการะส่วนบูชาอาจารย์สำหรับเจ้าหญิงพระองค์นี้
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นปราสาทที่น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นปราสาทที่น่ารื่นรมย์ แต่ความรู้สึกของคนที่เริ่มหน่ายความน่ารื่นรมย์ต่างๆ ก็จะเห็นว่าไม่น่ารื่นรมย์จริง เพราะแต่ก่อนนั้นเมื่อยังเพียบพร้อมด้วยกิเลสย่อมเห็นสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ แต่เมื่อปัญญาเริ่มเจริญขึ้นย่อมเห็นว่าสิ่งที่เคยรื่นรมย์นั้น แท้ที่จริงแล้วหาเป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ พระโพธิสัตว์บรรทมเหนือพระที่บรรทม ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีรุ่นๆ ทั้งหลาย ผู้มีดวงหน้างามเหมือนดวงจันทร์เต็มดวง ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง และบรรเลง มีรูปโฉมงามเช่นเทพธิดา ถือดนตรีที่มีเสียงไพเราะพากันมาห้อมล้อมพระมหาบุรุษนั้นให้ทรงรื่นรมย์ ประกอบการฟ้อนการขับร้อง และการบรรเลง แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงยินดีในการฟ้อน การขับร้องเป็นต้น เพราะทรงมีจิตหน่ายในกิเลสทั้งหลาย บรรทมหลับไปครู่หนึ่ง
สตรีเหล่านั้นเห็นพระโพธิสัตว์บรรทม คิดว่าพวกเราประกอบการฟ้อนเป็นต้นเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใด ท่านผู้นั้นก็บรรทมหลับไปแล้ว บัดนี้พวกเราจะลำบากเพื่ออะไรเล่า แล้วก็นอนทับดนตรีที่ถือกันอยู่หลับไป ประทีปน้ำมันหอมก็ยังติดโพลงอยู่ พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ประทับนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือหลังพระที่บรรทม ทรงเห็นสตรีเหล่านั้นนอนทับเครื่องดนตรี มีน้ำลายไหล มีแก้ม และเนื้อตัวสกปรก บางพวกกัดฟัน บางพวกกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้าผ่อนหลุดลุ่ย บางพวกมีผมปล่อยยุ่ง นอนทรงรูปเหมาะแก่ป่าช้า
พระโพธิสัตว์ทรงเห็นอาการแปลกๆ ของสตรีเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตหน่ายในกามทั้งหลายสุดประมาณ พื้นปราสาทที่ประดับตกแต่งแม้งดงามเหมือนสวรรค์ ก็ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์นั้นปฏิกูลอย่างยิ่ง เหมือนป่าช้าผีดิบที่เต็มด้วยซากศพสรีระของคนตายที่เขาทอดทิ้งไว้ แม้ภพทั้งสามก็ปรากฏเสมือนภพที่ไฟไหม้ ทรงพระดำริว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ พระหฤทัยก็น้อมไปเพื่อบรรพชาอย่างยิ่ง แล้วในคืนนั้นเองก็ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ โดยประทับม้าทรงชื่อ กัณฐกะ ใกล้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เพียงอีก ๖ ปีต่อจากนี้เท่านั้น แต่ชาติสุดท้ายนั้นก็ต้องดำเนินชีวิตไปตามวัยต่างๆ จนกว่าจะถึงกาลที่สมควรแก่การตรัสรู้
บางท่านอาจจะเคยได้ทราบพระพุทธประวัติมาแล้ว แต่ที่จะขอกล่าวถึงก็เพราะเหตุว่า เมื่อได้ฟังพระพุทธประวัติแล้วย่อมเกิดกุศลจิต ระลึกถึงความเป็นมหาบุรุษผู้เลิศของพระโพธิสัตว์ เป็นพุทธานุสติ ก่อนที่จะถึงการอันตรธานของพระพุทธศาสนา
ม้ากัณฐกะนั้น โดยส่วนยาวนับตั้งแต่คอยาว ๑๘ ศอก ประกอบด้วยส่วนสูงเหมาะกับส่วนยาวนั้น ถึงพร้อมด้วยรูป ฝีเท้า และกำลังอันเลิศ ขาวปลอด สีสรรน่าดูเหมือนสังข์ขัด พระโพธิสัตว์ทรงโปรดให้นายฉันนะนั่งจับหางม้าไปด้วย ถึงประตูใหญ่ แห่งพระนครตอนครึ่งคืน เวลาที่พระชนมายุ ๒๙ พรรษา พระมหาสัตว์ทรงทิ้งจักรวรรดิราชย์ ไม่ทรงเยื่อใยเหมือนทิ้งก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระราชนิเวศน์ เมื่อดาวนักษัตรอุตตราสาฬหะ เพ็ญเดือนอาสาฬหะ เสด็จออกจากพระนคร ได้มีพระประสงค์จะทรงแลดูพระนคร เมื่อทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์แล้วจึงทรงกระตุ้นม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าไปตามทางที่พึงไป แสดงเจติยสถานชื่อ "กัณฐกนิวัตตนะ" คือที่ม้ากัณฐกะหันหน้ากลับ ณ ภูมิประเทศนั้น
วันอาสาฬหบูชา ทุกท่านก็คิดถึงวันปฐมเทศนา แต่ควรที่จะได้ทราบด้วยว่าในวันนั้นเป็นวันที่พระโพธิสัตว์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระโพธิสัตว์เสด็จหนทาง ๓๐ โยชน์ ผ่าน ๓ ราชอาณาจักร ราตรีเดียวเท่านั้นก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา ทรงกระแทกม้าให้สัญญาณแก่ม้า ม้าก็กระโดดไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายตรัสสั่งให้นายฉันนะนำอาภรณ์ ของพระองค์กับม้ากัณฐกะกลับไป แล้วพระองค์จักบวช
นายฉันนะทูลขอบวชถึง ๓ ครั้ง แต่พระโพธิสัตว์ก็รับสั่งให้นายฉันนะกลับไป พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ ไม่เหมาะแก่สมณะ ทรงจับพระขรรค์อันคมกริบด้วยพระหัตถ์ขวา รวบพระจุฬาพร้อมด้วยพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้ายแล้วตัด เหลือพระเกศาสององคุลีเวียนขวาติดพระเศียร พระเกศาเหล่านั้นก็มีประมาณเท่านั้นจนตลอดพระชนม์ชีพ ส่วนพระมัสสุก็เหมาะแก่ประมาณพระเกศานั้น แต่พระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องปลงพระเกศา และพระมัสสุอีกเลย คนช่างคิดก็คิดสงสัยว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีหนวดเคราหรือเปล่า แต่ว่าข้อความนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเหลือพระเกศาสององคุลี เวียนขวาติดพระเศียร จนตลอดพระชนม์ชีพ ส่วนพระมัสสุก็เหมาะแก่ประมาณพระเกศานั้น และพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องปลงพระเกศา และพระมัสสุอีกเลย
ท้าวสักกะเทวราช คือพระอินทร์จอมเทพของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงตรวจดูด้วยจักษุทิพย์ พระองค์ทรงเอาผอบรัตนะประมาณโยชน์หนึ่ง รับกำพระจุฬามณีนั้น แล้วทรงประดิษฐานพระจุฬามณีเจดีย์ สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ขนาด ๓ โยชน์ไว้ในภพดาวดึงส์ พระโพธิสัตว์ทรงดำริอีกว่า ผ้ากาสีเหล่านี้มีค่ามาก ไม่เหมาะแก่สมณะของเรา ลำดับนั้น ฆฏิการมหาพรหมสหายเก่าครั้งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ดำริโดยมิตรภาพ ที่ไม่ถึงความพินาศตลอดพุทธธันดรหนึ่งว่า วันนี้สหายเราออกภิเนษกรมณ์ จำเราจะถือสมณบริขารไปเพื่อสหายนั้น จึงนำบริขาร๘ เหล่านี้ไปถวาย คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม รัดประคด และผ้ากรองน้ำ พระโพธสัตว์ทรงเหวี่ยงคู่ผ้าที่ทรงนุ่งห่มไปในอากาศ ท้าวมหาพรหมรับผ้าคู่นั้นแล้ว สร้างเจดีย์สำเร็จด้วยรัตนะขนาด ๑๒โยชน์ในพรหมโลก บรรจุคู่ผ้านั้นไว้ข้างใน
แต่นั้นนายฉันนะก็ถวายบังคมพระมหาบุรุษ ทำประทักษิณแล้วหลีกไป ส่วนม้ากัณฐกะยืนฟังคำของพระโพธิสัตว์ตรัสกับนายฉันนะ รู้ว่าบัดนี้เราจะไม่เห็นนายของเราอีก พอละสายตาของพระมหาบุรุษนั้น ไม่อาจทนวิปโยคทุกข์ได้ ก็หัวใจแตกตายไปเกิดเป็นเทพบุตรชื่อกัณฐกะ ในภพดาวดึงส์ ซึ่งขณะนี้ท่านก็ยังอยู่ที่นั่น เพราะว่าสวรรค์แต่ละภพภูมิ มีอายุที่ยืนยาวมาก ความโศกได้มีแก่นายฉันนะอยู่แล้ว แต่เพราะการตายของม้ากัณฐกะ นายฉันนะก็ถูกความโศกครั้งที่สองเบียดเบียน ร้องไห้คร่ำครวญเดินทางไปด้วยความทุกข์
ต่อไปก็เป็นชีวิตของพระโพธิสัตว์ ก่อนการตรัสรู้ เมื่อพระมหาบุรุษทรงผนวชแล้วก็ประทับ ณ สถานที่นั้น คือที่สวนมะม่วง ชื่อ "อนุปิยะ" ๗ วัน ด้วยความสุขในบรรพชา จากปราสาท ๓ หลัง จากข้าราชบริพารแวดล้อม จากความสดวกสบายทุกอย่าง แต่พระโพธิสัตว์ก็ประทับที่สวนมะม่วงชื่อ อนุปิยอัมพวัน ด้วยความสุขในบรรพชา อย่างไหนจะมีความสุขกว่ากัน ไม่วุ่นวาย ไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน ไม่มีเรื่องกังวล แต่เป็นชีวิตที่อิสสระ ซึ่งจะค่อยๆ เริ่มพ้นจากความผูกพันของวัตถุกามต่างๆ
หลังจากนั้น พระองค์ทรงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนราชสีห์ ทรงเป็นนรสีหะ เหมือนควาญผู้รู้จักลีลาของช้างตกมัน ยังแผ่นดินให้เบาด้วยฝ่าพระบาท เสด็จเดินทาง ๓๐ โยชน์ วันเดียวเท่านั้น ทรงข้ามแม่น้ำคงคา เสด็จเข้าสู่พระนครราชคฤห์ เมื่อพระมหาบุรุษเสด็จเที่ยวแสวงหาภิกษา พวกมนุษย์ชาวพระนครที่เห็นพระรูปของพระมหาสัตว์ ก็เกิดปิติโสมนัส พระมหาบุรุษนั้นไม่มีใครงามเท่า แล้วก็ยังบรรพชาด้วยจิตใจสงบ ปลอดโปร่งจากสิ่งรบกวนทางโลก ความสง่างามของพระองค์จึงเป็นที่ประทับใจของผู้ที่ได้พบเห็น
ความสง่างามของพระรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ทำให้ชาวเมืองราชคฤห์เปรียบความสง่างามของพระองค์ต่างๆ นาๆ เช่นบางคนก็กล่าวว่าเหตุไรหนอ จันทร์เพ็ญที่มีรัศมี ที่ถูกภัยคือราหูกำบังแล้ว ยังมาสู่มนุษย์โลกได้ คือเปรียบพระองค์ว่าเหมือน พระจันทร์เพ็ญซึ่งมาสู่โลกมนุษย์ บางคนก็ยิ้ม และพูดว่า พูดอะไรอย่างนั้น เคยเห็นจันทร์เพ็ญมาสู่โลกมนุษย์กันเมื่อไร นั่นกามเทพมีดอกไม้เป็นธงมิใช่หรือ ท่านถือเพศอื่น เห็นความเจริญลีลาอย่างยิ่งของมหาราชของเรา และชาวเมือง จึงเสด็จมาเล่นด้วย คนอื่นนอกจากนั้นก็ยิ้ม และพูดว่า ท่านเป็นบ้ากันแล้วหรือ นั่นพระอินทร์ผู้เป็นท้าวสหัสสนัยน์ เป็นจ้าวแห่งเทวดามาในที่นี้ด้วยความสำคัญว่าเป็น อมรปุระ คือเข้าใจว่าเป็นเมืองเทพ
คนอื่นนอกจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า ท่านพูดอะไรกัน ท่านผิดทั้งคำต้นคำหลัง ท่านผู้นั้นมีพันตาที่ไหน มีวชิราวุธที่ไหน มีช้างเอราวัณที่ไหน ที่แท้ท่านผู้นั้นเป็นพรหม ท่านรู้ว่าคนที่เป็นพราหมณ์ประมาทกัน จึงมาเพื่อประกอบไว้ในพระเวท และเวทางค์เป็นต้นต่างหากเล่า พวกพราหมณ์เสื่อมจากลัทธิพระเวทต่างๆ จึงมาตักเตือนให้ประกอบพระเวทต่อไป ส่วนคนอื่นที่เป็นบัณฑิต ก็ปรามคนเหล่านั้นทั้งหมดแล้วพูดว่า ท่านผู้นี้ไม่ใช่พระจันทร์เพ็ญ ไม่ใช่กามเทพ ไม่ใช่ท้าวสหัสนัยย์ ไม่ใช่พรหมทั้งนั้น แต่ท่านผู้นี้เป็นอัจฉริยมนุษย์ จะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง นี่ ตาสว่างขึ้นมาแล้ว จากการที่หลงมองเห็นเป็นสิ่งต่างๆ นาๆ ก็มีผู้ที่รู้ว่าไม่ใช่ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด แต่เป็นอัจฉริยมนุษย์ และจะเป็นศาสดาผู้นำโลกทั้งปวง
เมื่อชาวพระนครเจรจากันอยู่อย่างนี้ พวกราชบุรุษก็กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าพิมพิสาร พระราชาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ประทับยืน ณ ปราสาทชั้นบน ทรงเห็นพระมหาบุรุษ เกิดจิตอัศจรรย์ไม่เคยมี ทรงรับสั่งกะพวกราชบุรุษว่า พวกท่านจงไปทดสอบท่านผู้นั้น ถ้าเป็นอมนุษย์ก็จักออกจากนครหายไป ถ้าเป็นเทวดาก็จะไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคราชก็จักลงไปในดิน ถ้าเป็นมนุษย์ก็จะบริโภคภิกษาตามที่ได้มา
ฝ่ายพระมหาบุรุษมีอินทรีย์สงบ มีพระหฤทัยสงบ เป็นประหนึ่งดึงดูดสายตา มหาชนเพราะความงามแห่งพระรูป ทรงแลชั่วแอก รวบรวมอาหารระคนกัน พอยังอัตตภาพให้เป็นไปได้ เสด็จออกจากพระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามา บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตวันออกแห่งร่มเงาภูเขาปัณฑวะ ประทับนั่งพิจารณาอาหาร ไม่มีอาการผิดปกติเสวย แต่นั้นพวกราชบุรุษก็ไปกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระราชา
ลำดับนั้นพระเจ้าพิมพิสาร ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพักตร์ตรงภูเขาปัณฑวะ เสด็จไปแล้ว ลงจากพระราชยาน เสด็จไปยังสำนักพระโพธิสตว์ อันพระโพธิสัตว์ทรงอนุญาตแล้ว ประทับนั่งเหนือพื้นศิลา เมื่อทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว ทรงถามถึงนาม และโคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม หม่อมฉันปรารถนาแต่สัมโพธิญาณจึงออกบวช
พระราชาแม้ทรงอ้อนวอนหลายประการ ก็ไม่ได้น้ำพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า "จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าแน่" แล้วทูลว่า "ก็พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว โปรดเสด็จมาแคว้นของหม่อมฉันก่อน" แล้วเสด็จกลับพระนคร
ลำดับนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ทรงรีบเสด็จออกจากพระนคร บ่ายพระพักตร์ตรง ภูเขาปัณฑวะ เสด็จไปแล้ว ลงจากพระราชยาน เสด็จไปยังสำนักพระโพธิสตว์ อันพระโพธิสัตว์ทรงอนุญาตแล้ว ประทับนั่งเหนือพื้นศิลา เมื่อทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว ทรงถามถึงนาม และโคตร ทรงมอบความเป็นใหญ่ทุกอย่างแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันไม่ประสงค์ด้วยวัตถุกามหรือกิเลสกาม หม่อมฉันปรารถนาแต่สัมโพธิญาณจึงออกบวช
พระราชาแม้ทรงอ้อนวอนหลายประการ ก็ไม่ได้น้ำพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ จึงตรัสว่า "จักทรงเป็นพระพุทธเจ้าแน่" แล้วทูลว่า "ก็พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว โปรดเสด็จมาแคว้นของหม่อมฉันก่อน" แล้วเสด็จกลับพระนคร
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสด็จจาริกไปตามลำดับ เข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดขึ้น แล้วทรงดำริว่า ทางนี้ไม่ใช่ทางแห่งพระโพธิญาณ ไม่ทรงใส่พระทัยถึงสมาบัติภาวนานั้น มีพระประสงค์จะตั้งความเพียร จึงเสด็จไปยังอุรุเวลา ทรงดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ พระองค์ประทับอยู่ ณ ตำบลนั้น ทรงตั้งความเพียรยิ่งใหญ่ ชน ๕ คนเหล่านี้คือ บุตรของพราหมณ์ผู้ทำนายพระมหาปุริสลักษณะ ๔ คน และพราหมณ์ชื่อ โกณฑัญญะ (ซึ่งเมื่อครั้งที่ทำนายมหาปุริสลักษณะนั้น พราหมณ์โกณฑัญญะยังเป็นหนุ่ม พราหมณ์อื่นสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่ได้สั่งให้บุตรของตนบวช เพื่อที่จะได้ติดตามพระผู้มีพระภาค เพราะพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ชน ๕ คนเหล่านี้ คือบุตรของพราหมณ์ผู้ทำนายพระมหาปุริสลักษณะ ๔ คน และพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญะ บวชคอยอยู่ก่อนแล้ว ท่านทั้ง ๕ นั้นเที่ยวภิกษาจารไปในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บำรุงพระโพธิสัตว์ ณ ที่นั้นปัญจวัคคีย์ คือ ชน ๕ คนนี้บำรุงพระโพธิสัตว์ผู้ตั้งความเพียรยิ่งใหญ่อยู่ถึง ๖ ปี ด้วยวัตรปฏิบัติ มีกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังอยู่ว่า พระโพธิสัตว์จักทรงเป็นพระพุทธเจ้า แม้พระโพธิสัตว์ก็ทรงยับยั้งอยู่ด้วยงา และข้าวสารเมล็ดเดียว ด้วยทรงหมายจะทำทุกกรกิริยาให้ถึงที่สุด ได้ทรงตัดอาหารด้วยประการทั้งปวง แม้เทวดาทั้งหลายก็นำทิพโอชะใส่ลงตามขุมขนทั้งหลาย
ครั้งนั้น พระวรกายที่มีสีทองของพระองค์ผู้มีพระกายถึงความซูบผอมอย่าง ยิ่งเพราะไม่มีอาหารนั้นก็มีสีดำ (ผิวสีทองเปลี่ยนเป็นสีดำ) พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็ถูกปกปิด พระโพธิสัตว์ทรงถึงที่สุดแห่งทุกกรกิริยา ทรงดำริว่าทางนี้มิใช่ ทางแห่งพระโพธิญาณ มีพระประสงค์ที่จะเสวยอาหารหยาบ จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ณ คามนิคมทั้งหลาย เสวยพระกระยาหาร ลำดับนั้น มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ก็กลับเป็นปกติ พระวรกายมีสีดุจสีทอง ขณะนั้น ปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์ก็คิดว่า ท่านผู้นี้แม้ทำทุกกรกิริยามา ๖ ปี ก็ไม่อาจแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้ มาบัดนี้ยังเที่ยวบิณฑบาตไปตามคามนิคมราชธานีทั้งหลาย บริโภคอาหารหยาบ จักอาจได้อย่างไร ท่านผู้นี้มักมากคลาย ความเพียร ประโยชน์อะไรของเราด้วยท่านผู้นี้ แล้วก็ละพระมหาบุรุษพากันไปยังป่าอิสิปตนะ กรุงพาราณสี
ข้อความต่อไปโดยย่อมีว่า พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์สมัยที่พระองค์ยังไม่ตรัสรู้ว่า เรามีปราสาท ๓ หลัง สุจันทะ โกกนุทะ และ โกญจะ มี ๙ ชั้น ๗ ชั้น และ ๕ ชั้น มีสนมฟ้อนรำ ๔ หมื่นนาง มีอัครมเหสีพระนามว่า ยโสธรา เรานั้นเห็นนิมิตร ๔ ออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือม้า แต่นั้นก็ตั้งความเพียร ๖ ปี ในวันวิสาขบุรณมี ก็บริโภคข้าวมธุปายาสที่ธิดาของเสนานีกฏุมพี ณ อุรุเวลา เสนานิคม ชื่อสุชาดา ผู้เกิดความเลื่อมใสถวายแล้ว พักกลางวัน ณ สาลวัน เวลาเย็นรับหญ้า ๘ กำ ที่คนหาบหญ้าชื่อ "โสตถิยะ" ถวายแล้ว เข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์ ชื่อต้น "อัสสัตถะ" กำจัดกองกิเลสของมาร ณ ที่นั้น บรรลุพระสัมโพธิญาณ
ข้อความใน มธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เรื่องสถานที่ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงละ มีข้อความว่า ก็พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ไม่ทรงละเจติยสถาน ๔ แห่ง (ในกัปป์นี้ซึ่งเป็นภัทรกัปป์ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ พระองค์ และสถานที่ซึ่งเป็นสถานที่เดิมเป็นสถานที่เดียวกันมี ๔ แห่ง) คือ
๑ โพธิบัลลังก์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่ทรงละ คือเป็นสถานที่แห่ง เดียวกันนั่นเอง
๒ ไม่ทรงละการประกาศพระธัมมจักร ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน (ในระหว่างพุทธันดร คือ สมัยที่ว่างพระศาสนา พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายลงจากภูเขาคันธมาทน์ และมาแวะพักที่ป่าอิสิปตนะ ด้วยเหตุนั้น ป่านั้นจึงชื่อว่า "อิสิ" คือ "ฤาษี" ซึ่งหมายถึงพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นเอง)
๓ ไม่ทรงละสถานที่ที่ทรงเหยียบพระบาทครั้งแรก ใกล้ประตูสังกัสสนคร ครั้งเสด็จลงจากเทวโลก
๔ ที่ไม่ทรงละสถานที่วางเท้าเตียง ๔ เท้าแห่งพระคันธกุฏีในพระวิหาร เชตวัน
ข้อความใน ปปัญจสูทนี อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อรรถกถาปาสราสิสูตร ได้กล่าวถึงอีกสถานที่ ๑ คือ สถานที่ตั้งพระแท่นปรินิพพาน เมื่อกล่าวโดย นักษัตร์ คือ โดยดาวฤกษ์ต่างๆ โดยนักษัตรคือดาวฤกษ์ในเดือนอุตตราสาธ หรือ อุตตรสาฬหะ
พระมหาบุรุษทรงบังเกิดในพระครรภ์พระชนนี ๑
เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ๑ ทรง
ประกาศพระธัมมจักร ๑ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ๑
โดยนักษัตร คือ ดาวฤกษ์ในวันเพ็ญในเดือนวิสาขะ ทรงประสูติ ๑ ทรง ตรัสรู้ ๑ และทรงดับขันธปรินิพพาน ๑
โดยนักษัตร คือ ดาวฤกษ์วันเพ็ญเดือนมาฆะ พระผู้มีพระภาคทรงประชุมพระสาวก ๑ ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ๑
โดยนักษัตร คือ ดาวฤกษ์วันเพ็ญเดือนอัสสยุชะ พระผู้มีพระภาคเสด็จลงจากเทวโลกนี้ชื่อว่า กำหนดนักษัตร์
ขอให้ท่านทั้งหลายผู้อยู่ในยุคนี้ คือในสมัยพระพุทธเจ้าพระสมณโคดม ไม่ใช่ในสมัยของพระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในภัทรกัปป์ ย้อนคิดถึงความอดทนของบุคคลในสมัยของพระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ซึ่งในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาขุททกนิกาย พุทธวงศ์ พรรณา เรื่องความปรารถนาของท่านสุเมธ มีข้อความว่า ถอยไป ๔ อสงขัยแสนกัปป์ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ทีปังกร ทรงพยากรณ์ท่านสุเมธดาบสว่า ต่อแต่นี้ไปอีก ๔ อสงขัยแสนกัปป์ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า สมณโคดมนั้น มหาชนครั้งนั้นที่ได้ฟังพระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระทีปังกร พากันร่าเริงยินดี และได้ทำความปรารถนาว่า "บุรุษกำลังจะข้ามแม่น้ำ เมื่อไม่อาจข้ามโดยท่าตรงหน้าได้ ก็ย่อมข้ามโดยท่าหลัง ฉันใด พวกเราเมื่อไม่ได้มรรคผลในศาสนาของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลก็พึงสามารถทำให้แจ้ง มรรค ผล ต่อหน้าท่านในสมัยที่ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน"
๔ อสงขัยแสนกัปป์ คนในสมัยโน้นกล่าวว่า ถ้าไม่บรรลุมรรคผลในสมัยของพระทีปังกร ก็คงจะได้บรรลุในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดมพระองค์นี้ ๔ อสงขัยแสนกัปป์ที่เป็นความอดทนของคนสมัยนั้น เขาร่าเริงยินดีเพราะเหตุว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งข้างหน้า อดทนรอได้ ๔ อสงขัยแสนกัปป์ ไม่เร่งผลโดยที่ไม่มีเหตุอันสมควร อย่างบางคนอยากจะปฏิบัติให้เกิดผลภายใน ๓ เดือน หรือว่า ๑ ปี ๒ ปี แต่ว่าคนที่สามารถเข้าใจพระธรรม ก็รู้ได้ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานจริงๆ ในการอบรมปัญญา
ข้อความที่ว่า "บุรุษกำลังจะข้ามแม่น้ำ เมื่อไม่อาจข้ามโดยท่าตรงหน้าได้ ก็ย่อมข้ามโดยท่าหลัง" เมื่อไม่สามารถจะรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็บำเพ็ญเหตุที่จะให้รู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ฉะนั้น ทุกท่านจึงต้องมีความอดทนอย่างนั้น ต้องเป็นผู้ที่อดทนจริงๆ ที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริงในขณะนี้ตามปกติ
ท่านผู้หนึ่งบอกว่า เมื่อท่านได้ฟังพระธรรม และระลึกได้