ปัญญาในสมถะและวิปัสสนาต่างกันอย่างไร
ผู้ฟัง ขอให้อาจารย์ชี้แจงลักษณะของสมถะ และวิปัสสนาปัญญา
ท่านอาจารย์ สมถะเป็นกุศลจิต เป็นความสงบของจิต ซึ่งก็ต้องดีกว่าอกุศลจิตแน่นอน แต่ว่าไม่ใช่กุศลที่ทำให้ดับสังสารวัฏฏ์ เพราะเหตุว่าปัญญาไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ้าผู้ฟังรู้สึกว่า จิตใจไม่สงบ กระสับกระส่าย แล้วจะเป็นเพราะโลภะหรือโทสะก็ตามแต่ มีสติขั้นสมถะระลึกได้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล อย่างเวลาโกรธใครแล้วจิตใจไม่แช่มชื่น ก็รู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศล ถ้ามีเมตตาในบุคคลนั้น โทสะหรือความไม่แช่มชื่นของจิตจะไม่มีในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น การเจริญเมตตาคือการระลึกถึงอารมณ์ที่เป็นปัจจัยให้โกรธ ด้วยความเมตตา ในขณะนั้นถ้าเมตตาเกิดขึ้น ความโกรธก็จะไม่เกิดกับความเมตตาในขณะนั้นเลย จิตที่ประกอบด้วยเมตตา เป็นสมถะ เป็นความสงบ
เพราะฉะนั้น สมถะจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นการเมตตาต่อบุคคลอื่นในขณะหนึ่งขณะใด ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะของอกุศล เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ใช่เป็นไปในทาน ไม่ใช่เป็นไปในศีล แต่เป็นไปในเมตตา ซึ่งทำให้จิตสงบ นั่นเป็นสมถภาวนา ทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งก็ควรเจริญควรอบรม เพราะเหตุว่าการมีชีวิตอยู่ก็ต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นเป็นประจำ การให้จิตใจเป็นไปในกุศลที่สูงกว่าขั้นทาน หรือขั้นศีล โดยการวิรัติไม่เบียดเบียนบุคคลนั้นก็ยังไม่พอ ยังต้องมีการอบรมเจริญพรหมวิหารซึ่งเป็นสมถภาวนา ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาเรื่องของความสงบจริงๆ จะทราบว่า ไม่ใช่เรื่องของสมาธิ ซึ่งบางครั้งท่านผู้ฟังไม่ได้ศึกษาโดยละเอียดจริงๆ เพียงแต่ไปปฏิบัติจดจ้องที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แล้วเข้าใจว่า ขณะนั้นสงบจากโลภะ โทสะ โมหะ
เพราะฉะนั้น สมถภาวนาเป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก ซึ่งจะเป็นไปต่อจากลำดับของศีล ให้ท่านผู้ฟังได้ทราบว่า ที่ท่านปฏิบัติจริงๆ เป็นสมถภาวนาหรือเปล่า เพราะเหตุว่าถ้าเป็นสมถภาวนาแล้วต้องเกิดร่วมกับปัญญาทุกครั้ง จิตที่เกิดร่วมกับสมถภาวนาจะต้องประกอบด้วยปัญญาเจตสิกทุกครั้ง นั่นถึงจะเป็นสมถภาวนา แต่ถ้าไม่รู้จุดประสงค์ว่า เจริญสมถะเพื่ออะไร และลักษณะของสมถภวนานั้นเป็นความสงบของจิตในขณะไหน อย่างไร คือต้องสงบทั้งจากโทสะ และจากโลภะด้วย เพราะส่วนมากผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องสมถภาวนาจริงๆ ท่านไม่เห็นโทษของโลภะเลย ท่านเห็นแต่ความกระสับกระส่าย กระวนกระวาย ความเดือดร้อนของจิตซึ่งเป็นปฎิฆะ เป็นโทสมูลจิต แต่พอมีใครชวนไปเที่ยวสนุกๆ ท่านก็ไป รับประทานอาหารอร่อยๆ ท่านก็ชอบ ทุกอย่างที่เป็นอิฏฐารมณ์แล้ว ท่านไม่ได้กลัวเลย แต่ท่านไม่ได้ขอบอนิฏฐารมณ์ หรือโทสมูลจิต
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ได้ศึกษาอย่างนี้ ท่านก็ไปปฏิบัติสิ่งที่ท่านเข้าใจว่า เป็นสมถภาวนา โดยที่ขณะนั้นปัญญาไม่ได้เกิดร่วมกับจิตเลย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ความสงบแท้จริงจากโลภะ โทสะ จากโมหะ
เพราะฉะนั้น ที่ท่านผู้ฟังว่า ไปปฏิบัติสมาธิก็ไม่ทราบว่า ท่านอบรมเจริญอย่างไร เห็นโทษเห็นภัยของโลภะ โทสะ โมหะในชีวิตประจำวันแล้วการอบรมสมาธิซึ่งเป็นความตั้งมั่นของความสงบของจิตได้ ก็จะต้องอาศัยการเจริญสมถภาวนาเป็นปกติในชีวิตประจำวันด้วย ถ้าชีวิตประจำวันของท่าน ฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง คิดร้ายคนอื่นบ้าง เบียดเบียนคนอื่นบ้างด้วยกาย ด้วยวาจา แต่พอกลางคืนดึกๆ ก็เข้าห้องเจริญเมตตากัมมัฏฐาน ก็ไม่ทราบว่า ท่านไปเอาเมตตาวันไหน ขณะไหน มาเป็นพื้นเป็นบาทที่จะให้จิตของท่านสงบจนถึงขั้นอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิได้ ในเมื่อตลอดทั้งวันท่านก็ไม่เคยระลึกได้เลยว่า จิตของท่านเศร้าหมองขุ่นมัว เต็มไปด้วยอกุศล เต็มไปด้วยการประทุษร้ายทางกาย ทางวาจา ทางใจกับบุคคลอื่นมามากเหลือเกิน แต่พอถึงเวลาก็ไปเข้าห้องเจริญเมตตากัมมัฏฐาน ก็ไม่ทราบว่าจะเจริญได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เรื่องของสมถภาวนาเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แล้วเป็นกุศลจริงๆ แต่ถ้าไม่ใช่สมถภาวนา แล้ว ไม่ใช่กุศล เพราะฉะนั้น เรื่องของสมาธิที่ปฏิบัติกันอยู่ ส่วนใหญ่จะไม่ใช่สงบจากโลภะ โทสะ โมหะ