ปัญญารู้ถูกตามจริง ไม่ใช่นึกฝัน
ถ้าเป็นเรื่องของปัญญาแล้วต้องรู้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ถ้ากำลังโกรธ สภาพที่โกรธมีจริงๆ ปัญญาสามารถที่จะเห็นความกระด้างของจิตใจในขณะที่โกรธ แล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมนี้ไม่มีใครบังคับบัญชาได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แล้วก็มีกิจหน้าที่ที่จะกระทำตามกำลังของความโกรธนั้นว่า โกรธมากหรือโกรธน้อยอย่างไร
เพราะฉะนั้นก่อนอื่น แม้แต่คำว่า “สมถะ” หรือ “วิปัสสนา” ขอให้มีปัญญาเข้าใจก่อนอย่าเพิ่งทำเพราะเหตุว่าถ้ายังไม่เข้าใจแล้วทำไม่ได้ สมถะคือสงบจากอกุศลทุกประเภท วิปัสสนาคือปัญญาที่เห็นแจ้งในลักษณะของสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริงในขณะนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างนี้ จะไปนั่งแล้วก็จะไปเห็นอะไรก็ไม่ทราบ แต่กิเลสก็ยังเยอะ คือเห็นแล้วก็ยังกลัวบ้าง โกรธบ้าง ชอบบ้าง ถ้าเห็นนางฟ้าเทวดาก็ดีใจ ถ้าเห็นนรก เห็นอะไรก็ตกใจกลัว ขณะนั้นไม่ใช่ของจริงเลย เพราะเหตุว่าเป็นการนึกคิดเหมือนความฝัน เวลาฝันจริงหรือเปล่า แต่เหมือนจริง ฉันใด ขณะที่กำลังเห็นเทวดาเห็นนรกเห็นอะไรต่างๆ เหมือนจริง แต่ไม่ใช่จริง เพราะเหตุว่าความจริงคือขณะนี้ที่กำลังเห็น โดยไม่ต้องไปนึกฝัน หรือว่าสร้างอะไรขึ้นมา
เพราะฉะนั้นเรื่องของปัญญาจะต้องเป็นเรื่องที่จะต้องค่อยๆ เจริญอบรมให้มีความเข้าใจในพระธรรมที่แท้จริงเสียก่อน แล้วก็จะไม่ถูกความต้องการของเราชักนำไปให้เข้าใจผิดๆ