มโนกรรม ๓
ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้อยากได้ของของผู้อื่น คือ อยากได้วัตถุอันเป็นเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นว่า ไฉนหนอวัตถุอันเป็นเครื่องอุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจแห่งผู้อื่นของบุคคลอื่นพึงเป็นของเราดังนี้ ๑ เป็นผู้มีจิตคิดปองร้าย คือ มีความดำริในใจอันชั่วร้ายว่า ขอสัตว์เหล่านี้จงถูกฆ่า จงถูกทำลาย จงขาดสูญ จงพินาศ หรืออย่าได้เป็นแล้ว ดังนี้ ๑ เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ มีความเห็นอันวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ผู้เป็นอุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้ และปรโลกให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตาม ไม่มีในโลกดังนี้ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความวิบัติอันเป็นโทษแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง มีความตั้งใจเป็นอกุศล ย่อมมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก อย่างนี้แล ฯ
นี่คือมโนกรรม ๓ คือ อภิชฌา เพ่งเล็งอยากได้ของบุคคลอื่น ๑ พยาปาท มีจิตคิดปองร้ายบุคคลอื่น ๑ และมีความเห็นผิด มีความตั้งใจที่เป็นอกุศล ๑ รวมเป็นมโนกรรม ๓
มีความสงสัยเรื่องมโนกรรมไหมคะ
ขอเริ่มตั้งแต่เรื่องของอภิชฌาได้ไหมคะ เพราะว่ามีท่านผู้หนึ่งถามว่า เขาเห็นของๆ คนอื่นสวย คือไปบ้านเพื่อน และเห็นของๆ คนอื่นสวย และก็อยากจะได้บ้าง อย่างนี้จะเป็นอภิชฌาหรือเปล่า
นี่เป็นแต่เพียงโลภมูลจิตธรรมดา เห็นสวย อยากได้ แต่ไม่มีความตั้งใจเป็นอกุศล อาจจะถามว่าซื้อที่ไหน แล้วก็ไปซื้อหามาบ้าง ขณะนั้นก็ไม่เป็นอกุศลกรรมบถ เพียงแต่มีความต้องการ หรือความอยากได้สิ่งที่คนอื่นมี แต่ไม่ได้หมายความว่า คิดที่จะเอาของๆ คนนั้นมาเป็นของตนในทางทุจริต ถ้าอยากได้แล้วถามซื้อ ก็ไม่เป็นทุจริต เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ปกติธรรมดาของโลภมูลจิต เมื่อไม่มีความตั้งใจที่จะทำอกุศลกรรม ย่อมไม่เป็นอกุศลกรรมบถ