ชวนวิถีจิตทางปัญจทวารของปุถุชน
นิภัทร ผมสงสัยว่า อารมณ์ที่เกิดทางปัญจทวารวิถีตลอดวิถี จะเป็นอารมณ์ปรมัตถ์ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ในปัญจทวารวิถีก็จะต้องมีชวนะเกิด ในชวนจิตนั้น ถ้าอารมณ์เป็นปรมัตถ์ คือไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ตอนนั้นจะเป็นบุญ เป็นบาปได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ท่านผู้ฟังเห็นว่า การเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทางตา ช่างเล็กน้อย และช่างสั้น นิดหน่อยเสียเหลือเกิน แต่แม้กระนั้นก็ตาม เมื่อไม่ใช่พระอรหันต์แล้วจิตในขณะนั้นต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นชวนะคือ เป็นโลภมูลจิต หรือเป็นโทสมูลจิต หรือเป็นโมหมูลจิต ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ชวนวิถีทางปัญจทวาร หรือทางมโนทวาร ต้องเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล
นิภัทร ทั้ง ๆ ที่อารมณ์นั้นเป็นปรมัตถ์
ท่านอาจารย์ แน่นอน แล้วจะเล็กน้อย แสนสั้น แสนเร็วแค่ไหนก็ตามแต่ อกุศลจิตก็เกิดแล้ว
แต่สำหรับอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย แสดงวิสยปวัตติคือ จิตที่เกิดขึ้นเป็นไปรู้อารมณ์ตามทวารต่าง ๆ โดยละเอียดว่า จิตขณะไหนเป็นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัยให้จิตดวงใดเกิดต่อ
ขอยกตัวอย่างทางปัญจทวาร ทวารหนึ่งทวารใด คือ ทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป โดยนัยของปฏิจจสมุปปาท
วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปซึ่งได้กล่าวถึงแล้วว่าได้แก่ เจตสิก และกัมมชรูป ซึ่งเกิดพร้อมกับปฏิสนธิวิญญาณ และหลังจากนั้นแล้วก็เป็นปัจจัยให้อายตนะเกิดเพราะเหตุว่า นามรูปเป็นปัจจัยแก่อายตนะ เมื่อมีตาซึ่งเป็นกัมมชรูป เกิดขึ้นเพราะกรรมมีหูมีจมูก มีลิ้น มีกาย เกิดขึ้นเพราะกรรมที่จะไม่ให้เป็นอายตนะ คือ ไม่เป็นทางที่จะรู้อารมณ์ที่กระทบ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นอนันตรปัจจัยเมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้ว เป็นปัจจัยให้ภวังคจิตเกิดดับแล้ว นามรูปเป็นปัจจัยแก่อายตนะเพราะเหตุว่าจักขุปสาทเมื่อถึงกาลหรือเวลาที่จะเกิดกรรมก็เป็นปัจจัยทำให้จักขุปสาทรูปเกิดดับ แต่ยังไม่เป็นอายตนะ ถ้าขณะนั้นผัสสะยังไม่กระทบกับรูปารมณ์ เพราะฉะนั้นก็ยังคงเป็นแต่เพียงกัมมชรูป เป็นจักขุปสาทรูป เป็นรูปที่มีลักษณะพิเศษ ที่ใสที่จะรับกระทบเฉพาะกับสิ่งที่ปรากฏทางตา
โสตปสาทรูปก็เป็นกัมมชรูปเป็นรูปที่เกิดเพราะกรรมไม่สามารถจะมองเห็นได้ ใครจะใช้กล้องจุลทัศน์ไปส่องไปขยายอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถที่จะเห็นจักขุปสาท หรือโสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท หรือรูปอื่น ๆ ทั้งหมดเลย นอกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งใช้คำว่า แสงหรือสี หรือวัณณะ หรือรูปารมณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือไม่ต้องใช้คำอะไรเลยก็ได้ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ สภาพธรรมนั้นเองเป็นของจริงที่กำลังปรากฏเพราะกระทบกับจักขุปสาท
เพราะฉะนั้นปสาทรูปทั้งหมดเป็นสภาพที่ใส เมื่อเปรียบเทียบกับความใสของกระจก ซึ่งสามารถจะรับกระทบกับอารมณ์ที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเวลาที่ภวังคจิตดับแล้ว นามรูปเป็นปัจจัยแก่อายตนะ ต้องในขณะที่อารมณ์กระทบกับทวารหนึ่งทวารใด ทวารนั้นจึงเป็นอายตนะ เพราะเหตุว่าอายตนะมี ๖ คือจักขวายตนะได้แก่ จักขุปสาทรูป๑ โสตายตนะได้แก่ โสตปสาทรูป๑ฆานายตนะได้แก่ ฆานปสาทรูป๑ ชิวหายตนะ ได้แก่ ชิวหาปสาทรูป ๑กายายตนะ ได้แก่ กายปสาทรูป๑มนายตนะ ได้แก่ จิตทุกดวง
ในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึงทวาร แต่กล่าวถึงอายตนะ เพราะฉะนั้นมนายตนะ ได้แก่ จิตทุกดวง เพราะเหตุว่าจิตทุกดวงรู้อารมณ์
เพราะฉะนั้นเวลาที่ภวังคจิตเกิดดับสืบต่อ โดยอนันตรปัจจัย และขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตากระทบกับจักขวายตนะ คือ กระทบกับจักขุปสาทรูป โดยความละเอียดท่านอรรถกถาจารย์ ท่านก็ยังให้คำอธิบายไว้ว่า เมื่อรูปารมณ์กระทบกับจักขุปสาท ทำไมภวังคจิตจึงไหวเพราะเหตุว่า ภวังคจิตไม่ได้เกิดที่จักขุปสาท
นี่แสดงให้เห็นถึง ความละเอียดของสภาพที่เป็นปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม
สิ่งที่ปรากฏทางตา แม้แต่พระอาทิตย์หรือพระจันทร์ ซึ่งอยู่ไกลก็ยังเป็นอารมณ์ได้ สามารถจะกระทบกับจักขุปสาทรูปได้ สำหรับจักขุปสาทรูปกับหทยวัตถุรูป อยู่ไกลกันถึงกับจักขุปสาทกับพระอาทิตย์ พระจันทร์ไหมคะหรือว่าใกล้กว่านั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่มีปัญหาเลยที่ว่า เมื่อรูปารมณ์กระทบกับจักขายตนะคือ จักขุปสาทแล้ว ภวังคจิตไหว เพื่อที่จะรู้อารมณ์ต่อไป เพราะเหตุว่าถ้าภวังคจลนะไม่เกิดขึ้นไหว วิถีจิตจะเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นทางปัญจทวาร ต้องอาศัยรูปหนึ่งรูปใด กระทบกับทวารหนึ่งทวารใด เป็นปัจจัยให้ภวังคจิตไหว
คำอุปมาในอรรถกถามีว่าเหมือนกับแมลงวันซึ่งเกาะอยู่ที่ก้อนกรวดบนกลองด้านหนึ่ง และเวลาที่มีคนตีกลองอีกด้านหนึ่งก้อนกรวดก็ไหวตามความไหวของกลอง และเชือก และหนังกลอง แล้วแมลงวันก็บินไป
นี่ก็แสดงให้เห็นการเป็นปัจจัย ซึ่งแม้ว่ารูปารมณ์ไม่ได้กระทบกับหทยวัตถุ ซึ่งภวังคจิตกำลังเกิดแต่แม้กระนั้นก็ไม่ได้ไกลกันเหมือนกับพระอาทิตย์ พระจันทร์ ที่จะมาเป็นอารมณ์ของการเห็นได้ฉันใด เวลาที่รูปารมณ์กระทบกับจักขวายตนะ คือ จักขุปสาท ภวังคจลนจิตก็เกิด แล้วก็ดับ เมื่อดับแล้ว ภวังคจลนะเป็นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ให้เกิดภวังคุปัจเฉทะ และเมื่อภวังค์คุปัจเฉทะดับ ภวังคุปัจเฉทเป็นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ให้ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นแล้วดับ ต่อจากนั้นอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ก็ทำให้จักขุวิญญาณจิตเกิดขึ้นแล้วดับ สัมปฏิจฉนะเกิดแล้วดับสันตีรณจิตเกิดแล้วดับ โวฏฐัพพนจิตเกิดแล้วดับชวนะ ซึ่งต้องเป็นอกุศลหรือกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์คือ ผู้ที่เป็นปุถุชนถึง ๗ ขณะทั้ง ๆ ที่เป็นปัญจทวารวิถี อย่างรวดเร็วเป็นปรมัตถ์อารมณ์และยังไม่รู้ด้วยว่าขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นอะไรแม้กระนั้นก็ให้เห็นสภาพความเป็นปัจจัยว่า
เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับแล้วชวนะต้องเกิดและสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ชวนะต้องเป็นกุศลหรืออกุศลเพราะฉะนั้นถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ชวนะก็ต้องเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด คือ เป็นโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือโมหมูลจิตเกิดดับสืบต่อซ้ำกันถึง ๗ ขณะและถ้าเป็น ตทาลัพนวาระ คือ รูปารมณ์นั้นยังไม่ดับไป ตทาลัมพนจิตก็เกิดต่อ
เพราะฉะนั้นวันหนึ่ง ๆ อกุศลมากแค่ไหนถ้าไม่ทรงแสดงไว้ก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นอกุศลมากเหลือเกินในวันหนึ่งๆ ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด แต่นี่คืออนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ทางปัญจทวาร
สำหรับทางมโนทวารวิถี วิสยปวัตติ คือการเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางมโนทวาร มี ๒ วาระ คือ ถ้ามโนทวาราวัชชนจิตดับแล้ว ชวนจิตเกิดต่อ และตทาลัมพนจิตเกิดต่อ นั่นเป็นตทาลัมพนวาระ
แต่บางครั้ง บางคราว เวลาที่มโนทวาราวัชชนจิตดับแล้ว ชวนวิถีจิตเกิดสืบต่อ ๗ ขณะ และไม่มีตทาลัมพนจิต ก็เป็นชวนวาระ
เพราะฉะนั้นสำหรับทางปัญจทวารขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่กระทบว่า เมื่อกระทบแล้ว ภวังคจิตจะไหวทันที หรือว่ากระทบหลาย ๆ ครั้ง จนกระทั่งวิถีจิตไม่สามารถจะเกิดถึงตทาลัมพนะได้ หรือไม่สามารถที่วิถีจิตจะเกิดถึงชวนะได้ มีเพียงแค่โวฏฐัพพนะ หรือไม่สามารถแม้วิถีจิตจะเกิดเลย มีแต่เพียงภวังคจลนะเท่านั้น นั่นก็เป็นวิถีจิตทางปัญจทวารซึ่งต้องอาศัยรูป ตามกำหนดอายุของรูป แต่ว่าทางมโนทวารแล้วก็มีเพียง ๒ วาระ คือ ตทาลัมพนวาระ และชวนวาระ ตามอนันตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ขณะจิตที่ดับไป หมดแล้ว แต่ว่าเป็นอนันตรปัจจัย และสมนันตรปัจจัยให้ขณะนี้เกิดสืบต่อเรื่อย ๆ