เครียดแล้วทำสมาธิจะแย่กว่าไม่ได้ทำอย่างไร


    ผู้ฟัง มีจิตศรัทธาที่จะปฏิบัติด้วยตนเอง แต่ก็เคยไปปฏิบัติกับพระอาจารย์ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเข้าใจผิดนิดหน่อย ตรงข้ามกับอาจารย์ที่ว่า เรามีความเครียดไปนั่งแล้วหาย ไม่ใช่อย่างนั้น ใช่ไหมคะ มีความรู้สึกว่า ทำแล้วก็สงบเย็นกว่าไม่ทำ

    ท่านอาจารย์ ชอบแน่ๆ เลย เพราะขณะนั้นเป็นโลภะแน่ๆ ถ้าขณะใดไม่มีปัญญา ขณะนั้นก็เป็นโลภะ เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังไม่รู้จักหน้าตาของปัญญาเลย เราก็เป็นทาสของความต้องการอยู่ตลอดเวลา แล้วแต่เขาจะให้เราพอใจในสิ่งใด พอใจที่จะไม่เครียด พอใจที่จะแข็งแรง พอใจที่จะมีสุขภาพดี เราจะเต็มไปด้วยความพอใจ ซึ่งถมเท่าไรก็ไม่เต็ม ถ้ามีปัญญาถึงจะสงบได้มาก มั่นคง ถ้าไม่มีปัญญา สงบได้นิดเดียวเอง ชั่วขณะที่ให้ทานบ้าง หรือวิรัติทุจริต เว้นทุจริตบ้างเท่านั้น เล็กๆ น้อยๆ ตั้งมั่นคงนานไม่ได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยปัญญา อย่างเวลานี้รู้จิตไหมว่า จิตกำลังเป็นอะไร มีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง คิดอะไรบ้างหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่ได้คิดเลยค่ะ

    ท่านอาจารย์ มีใครบ้างที่ไม่คิดอะไรเลยในขณะนี้ หรือมีคนเดียว ตามความเป็นจริงทุกคนบอกว่าไม่ได้คิด แต่ไม่รู้ว่า ที่ว่าไม่ได้คิดนี่กำลังคิด เห็นอะไรไหมคะในห้องนี้ เห็นไหมคะ มีอะไรในห้องนี้ไหมคะ

    ผู้ฟัง มีหลายอย่าง

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นคิดแล้ว โดยไม่รู้ตัวว่าคิด เพราะว่าโดยมากคิดว่า ต้องคิดเป็นเรื่องราว แต่จริงๆ แล้วในพระพุทธศาสนา ความคิดมีหลายระดับ เพียงเห็นเฉยๆ แล้วไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่ได้คิดถึงสิ่งที่กำลังเห็น หรือว่าทางหู เพียงได้ยินเฉยๆ พูดว่าอะไรก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเพียงได้ยิน ใช่ไหมคะ แต่เวลานี้ได้ยินแล้วรู้ว่า คนนั้นพูดอะไร หมายความว่าเราคิดตามเสียงที่ได้ยิน เป็นความหมายหรือเป็นคำ

    เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นคิด ไม่ใช่ไม่คิด

    นี่แสดงให้เห็นว่า ชีวิตในวันหนึ่งๆ ถ้าเราเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เราจะรู้ว่า ความคิดเก่าๆ ของเรานั้น เราคิดเองทั้งหมด แม้แต่เราไม่คิด ความจริงเราก็คิด แต่เราไม่ทราบว่า เป็นความคิดในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้น การเจริญของปัญญา ค่อยๆ เจริญขึ้นก่อน ก่อนที่จะทำอะไรทั้งหมด เพราะว่าต้องเป็นสติที่ระลึกเป็นไปในกุศล ไม่ใช่เราจะทำ ถ้าเราจะทำ ก็เป็นโลภะ เพราะฉะนั้น เราจะแก้โลภะชนิดนั้นด้วยโลภะชนิดนี้ หรือแก้โทสะด้วยโลภะ แต่ว่าไม่ใช่ด้วยปัญญา แต่ถ้าเป็นปัญญาต้องฟังพระธรรม ถ้าเราเป็นผู้นับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เป็นบุคคลผู้ประเสริฐสุดยิ่งกว่าใครทั้งหมด เหนือบุคคลใด หมายความว่าเราต้องฟังธรรมของพระองค์ มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นคำกล่าวลอยๆ เท่านั้นเอง เพียงเลื่อมใส แต่จริงๆ แล้วไม่ทราบว่า ทรงสอนว่าอะไร ตรัสรู้อะไร แล้วสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์แก่เรามากน้อยสักแค่ไหน แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่นับถือ แล้วไม่เพียงลอยๆ คืออยากจะเข้าใจบุคคลที่เรานับถือให้มากขึ้นว่า พระองค์ตรัสรู้อะไรแล้วสอนอะไร เราเริ่มฟังพระธรรม แล้วเราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น แม้แต่วันนี้เราก็ได้ความหมายว่า ธรรมคือทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็แสดงเรื่องสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่พิสูจน์ได้ทุกกาลสมัยด้วย ตั้งแต่สมัยที่ตรัสรู้จนกระทั่งถึงสมัยนี้ ก็ยังเป็นธรรมที่พิสูจน์ได้ ถ้าเราศึกษาแล้วเราเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นยังไม่ต้องไปทำอะไร จะดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ต้องมีปัญญาก่อน แล้วจะทำถูก เพราะเป็นสติ และปัญญาที่เริ่มอบรมเจริญขึ้น ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ทำไม่ได้ ปัญญาไม่ได้ทำกิจของปัญญา และสติไม่ได้ทำกิจของสติ มีแต่โลภะซึ่งทำกิจของโลภะตลอดเวลา


    หมายเลข 3629
    28 ก.ค. 2567