ปัญญารู้ลักษณะของจิตที่สงบในขณะนี้
เรื่องความสงบของจิตซึ่งหลายท่านใคร่ที่จะได้เจริญ บางท่านก็มีข้อปฏิบัติที่ทำให้จิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นสมาธิ แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่รู้ลักษณะของความสงบ เพียงแต่ไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด หรือสำนักหนึ่งสำนักใด ไม่ว่าเด็กเล็กผู้ใหญ่ ไม่มีความรู้อะไรเลยทั้งสิ้น เพียงแต่ได้รับคำบอกเล่าหรือคำสั่งให้จดจ้องอยู่ที่ธรรมหนึ่งธรรมใดแล้วจิตจะสงบ นั่นเป็นคำบอกเล่า
เพราะฉะนั้น โดยมากก็มักจะไปทำสมาธิโดยไม่รู้ลักษณะสภาพของจิตที่สงบ ซึ่งการที่สามารถจะรู้ได้ว่า จิตที่สงบเป็นอย่างไร ต้องเป็นปัญญา ซึ่งทุกท่านจะพิสูจน์ได้ในขณะนี้ ธรรมทั้งหลายพิสูจน์ได้ทุกขณะแม้ในขณะนี้เอง มีท่านผู้หนึ่งผู้ใดทราบลักษณะของจิตไหมคะว่า ขณะนี้จิตเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล โดยขั้นคิดก็คิดว่า ท่านกำลังฟังธรรม จึงต้องเป็นกุศลจิต คิดว่าอย่างนั้นใช่ไหมคะ รู้จักชื่อของกุศลจิตที่กำลังฟังธรรม ไม่ใช่ไปดูมหรสพต่างๆ แต่นั่นเป็นชื่อ จิตอยู่ที่ไหนขณะนี้ เป็นกุศลอย่างไรขณะนี้ รู้ได้ไหมคะ
เพราะฉะนั้น ต้องมีลักษณะของสภาพธรรมที่แสดงอาการที่เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าขณะนั้นจิตไม่ใส ไม่สะอาด ไม่ผ่องแผ้ว ไม่ผ่องใส ก็จะบอกไม่ได้เลยว่า เป็นกุศล ลักษณะอาการก็เหมือนเดิมที่เป็นอกุศลอยู่ ไม่ต่างกัน แต่ถ้าขณะใดที่มีสภาพที่ปราศจากความหนักของอกุศลทั้งหลาย แล้วมีความเบาใจ ความสบายใจ ความผ่องใส ความผ่องแผ้ว ความสะอาดของจิตปรากฏ ก็รู้ได้ว่า ขณะนี้เป็นกุศล
เพราะฉะนั้น เรื่องของจิตใจซึ่งเป็นสภาพธรรมซึ่งทุกท่านมีอยู่เป็นประจำ แล้วท่านต้องการเจริญกุศลให้ยิ่งขึ้น เพราะว่ากุศลในชีวิตประจำวันที่กระทำกันอยู่ก็เป็นชั่วครั้งชั่วคราว เช่นในขณะที่ให้ทานบ้าง รักษาศีลบ้าง แต่จิตก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ เกิดดับอยู่เรื่อยๆ ในขณะที่ไม่ให้ทาน แลไม่ได้วิรัติทุจริตทางกายหรือทางวาจา
เพราะฉะนั้น การรักษาจิต และอบรมกุศลจิตที่เป็นไปทางใจเพิ่มขึ้น จะต้องเป็นไปได้ด้วยปัญญา ความรู้ในลักษณะของจิตในขณะนั้น ถ้าใครมุ่งไปจดจ้องเป็นสมาธิโดยไม่รู้ลักษณะของจิตของท่านที่สงบเป็นอย่างไร ต่างกับขณะที่ไม่สงบอย่างไร ผู้นั้นไม่สามารถจะเจริญกุศลที่เป็นไปทางใจ คือเป็นสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนาได้