ความสงบที่ตั้งมั่นคงขึ้นเพราะมีปัญญา
ท่านผู้ฟังที่อยากเจริญสมถภาวนาขอให้คิดว่า ท่านจะให้จิตสงบโดยประกอบกับปัญญาที่รู้ลักษณะสิ่งที่ปรากฏ หรือต้องการให้จิตสงบโดยไม่ประกอบด้วยปัญญาขั้นที่รู้ความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลของสภาพธรรมที่ปรากฏ เวลาที่สติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกศึกษารู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นจะต้องมีความสงบแล้วทีละเล็กทีละน้อย เช่นเดียวกับขณะที่ให้ทาน ถ้าไม่สงบ ไม่ปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ในขณะนั้น การให้ทานก็มีไม่ได้ เพราะคนไม่รู้แล้วก็หลงไปแล้ว ที่จะมีเจตนาที่เป็นกุศลในการให้ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมใดๆ ที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น เจตนาที่เป็นกุศลที่จะให้ทานก็ไม่เกิดกับบุคคลนั้น ขณะใดที่มีเจตนาจะให้เป็นกุศล ขณะนั้นต้องปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นสงบ ขณะใดที่วิรัติทุจริต ขณะนั้นสงบ แต่เพราะเหตุใดจึงแยกการเจริญสมถภาวนาออกไปอีกส่วนหนึ่ง แม้ในขณะที่ให้ทานก็ดี ในขณะที่รักษาศีลหรือวิรัติทุจริตนั้นก็ดี ก็สงบ ที่เป็นอย่างนี้ก็เป็นเพราะเหตุว่าขณะที่ให้ทาน ลักษณะของความสงบซึ่งเป็นกุศลจิตนั้นมีเพียงเล็กน้อย ชั่วขณะที่ให้ ไม่มั่นคง เพราะว่าจิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว แม้แต่ขณะที่ให้เป็นกุศล เจตนาที่จะให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะต่อไปอาจเป็นความเสียดายก็ได้ หรืออาจแป็นความรำคาญใจในข้อบกพร่องของทานนั้นก็ได้ หรืออาจเป็นโลภะ ความพอใจในวัตถุที่ให้ ในอาหาร ในดอกไม้ธูปเทียนต่างๆ ที่สวยงามที่จัดไว้อย่างดีก็ได้ นั่นก็เป็นสภาพของจิตซึ่งเกิดดับ และเปลี่ยยนแปรไปอย่างรวดเร็ว จากกุศลเป้นอกุศล จากอกุศลเป็นกุศล
เพราะฉะนั้น ชั่วขณะที่ให้ทาน กุศลเจตนาเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะนั้นความสงบจึงน้อยมาก ไม่ตั้งมั่นพอให้รู้ในลักษณะที่เป็นความสงบของจิต ด้วยเหตุนี้ขณะที่ไม่ได้ให้ทาน ขณะที่ไม่ได้รักษาศีลหรือวิรัติทุจริต สภาพของจิตส่วนใหญ่ในวันหนึ่งก็ย่อมเป็นอกุศลตามปัจจัยที่ได้สะสมมา แต่ถ้ามีปัญญารู้ว่า ทำอย่างไรจิตสงบ จิตจึงจะสงบได้ ในขณะนั้นก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่เพราะปัญญาที่รู้ว่า ขณะใดของความสงบเป็นอย่างไร เป็นปัจจัยให้ความสงบของจิตเกิดขึ้นได้ และจะเพิ่มความสงบเป็นสมถะ เป็นความสงบของจิตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เริ่มในชีวิตประจำวัน