วิปัสสนาญาน กับ การขัดเกลา
ผู้ฟัง ถ้าขณะวิปัสสนาญาณเกิดแล้ว คือเริ่มขัดเกลา เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ปุถุชนที่วิปัสสนาญาณเกิดในระดับต้นๆ ก็คือขัดเกลาแล้ว ไม่จำเป็นต้องวิปัสสนาขั้นไปถึงพระโสดาบัน อย่างนี้หรือเปล่า
อ.ประเชิญ สำหรับการขัดเกลา ที่เป็นการขัดเกลาโดยตรง ที่เมื่อคราวแล้วที่ให้ท่านอาจารย์ได้กล่าวไป ก็ตามนัยยะอรรถกถาที่ท่านกล่าวไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีหลายระดับ ที่ท่านพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ แต่ว่าก็เป็นการแสดงโดยนัยยะของปริยาย แต่ว่าโดยตรงจริงๆ ในอรรถกถาที่ท่าน ชี้ชัดลงไปว่า ถ้าจะละหรือขัดเกลาด้วยองค์นั้นๆ จริงๆ ต้องประเมินเป็นวิปัสสนาญาณสำหรับปุถุชน แต่พระอริยบุคคลท่านละเป็นสมุจเฉท ตามลำดับมรรคของท่าน อย่างเช่น พระโสดาบันก็ละ มิจฉาทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ตามนัยยะของสังโยชน์ เพราะฉะนั้นถ้าขัดเกลาอีกนัยยะหนึ่ง ที่ท่านแสดงไว้ในสัลเลขสูตร ท่านก็จะกล่าวตั้งแต่พื้นๆ เลย ที่ว่า ชนทั้งหลายเป็นผู้เบียดเบียน เราก็จะไม่เบียดเบียน ในที่นั้นท่านก็กล่าวว่า เป็นการประพฤติขัดเกลา จนเรียกว่าให้ถึงวิปัสสนาญาณ คือให้ถึงที่ท่าน ใช้คำว่าเป็นบาท เป็นเบื้องต้นจนถึงโลกุตระ การรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะฉะนั้นถ้าขัดเกลาอย่างอื่น เหมือนกับฤาษี ดาบส ทั้งหลาย หรือผู้ที่ไม่เข้าใจหนทาง ดูเหมือนจะขัดเกลา ดูภายนอกอย่างปุถุชนก็เหมือนจะขัดเกลา แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจหนทางแล้ว การขัดเกลาอย่างนั้น ก็เป็นการข่มชั่วขณะ แล้วก็ทำไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจ คือไม่ได้เห็นจริงๆ อย่างนั้น ก็ไม่ใช่เป็นการขัดเกลาจริงๆ ถ้าขัดเกลาจริงๆ คือละด้วยองค์นั้นๆ ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่เป็นตทังคปหาน และตทังควิมุตติ ต้องเป็นวิปัสสนาญาณ อันนี้คือการขัดเกลาที่ระดับของปุถุชน แต่พระอริยบุคคล ท่านก็ขัดเกลาระดับสูงขึ้นไปๆ ถ้าเป็นมรรค อย่างเช่น สกทาคามิมรรค ท่านก็ละส่วนที่พระโสดาบันยังละไม่ได้ ที่เป็นกิเลสจากที่พระโสดาบันละไม่ได้ ท่านก็ละได้ พระอนาคามี ท่านก็ละส่วนพระโสดาบันละไม่ได้ แล้วก็ราคะ โมหะ ที่ยังเหลืออยู่ และมานะ เป็นต้น ท่านก็ละเป็นส่วนที่หยาบ ทำให้เบาบางลง อันนี้ก็เป็นลักษณะของขัดเกลาด้วยเช่นเดียวกัน
ท่านอาจารย์ ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ ถ้าเรายังไม่เข้าใจพระธรรมเลย เราอาจจะคิดว่าคนนั้นขัดเกลา ทางกายดี ทางวาจาก็ดี แต่ว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้เข้าใจธรรมเลย เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ยังมีเรา หรือว่ามีความเห็นผิดว่าเป็นเรา แม้ว่ากาย วาจาจะดูเหมือนดี สามารถที่จะระงับได้แม้แต่ในขั้นของทาน หรือว่าในขั้นของศีล ในขั้นของกุศลอื่นๆ แต่คนนั้น ไม่มีความรู้เรื่องสภาพธรรมเลย เพราะฉะนั้นก็ยังคงมีความเป็นเรา ไม่ว่าจะเป็นคนดี ก็เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นจึงได้ชื่อว่ายังไม่ขัดเกลา แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ ก็จะมองดูว่าคนนั้นขัดเกลาแล้ว แต่ว่าอย่างที่ว่าบางท่านก็เป็นฤาษี อาจจะมีการกระทำที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น เพราะฤาษีก็เบียดเบียนคนอื่นไม่ได้ แต่ก็ไม่มีปัญญา ที่จะขัดเกลาความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นถึงว่าจะจากคนธรรมดาทั่วไป จนกระทั่งมีศีลระดับหนึ่ง จนกระทั่งไปป่าแล้วก็รักษาศีล ก็ไม่ได้ขัดเกลาความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ถ้ายังคงมีความเห็นผิดอยู่ แล้วอะไรจะไปทำให้ความเห็นผิดนั้นหมดไปได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นหนทางเดียว คือการที่สามารถจะรู้ได้ว่า ที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้อะไร แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจถูก เมื่อไหร่ ก็ค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ แล้วก็เมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ได้ดับกิเลสได้เป็น สมุจเฉท ตามลำดับขั้น แต่สำหรับผู้ไม่รู้ เหมือนขัดเกลากันแล้ว แต่ว่าจริงๆ ไม่ได้ขัดเกลา เพราะว่ายังไม่รู้อยู่แต่คนอื่นที่ไม่รู้ก็เข้าใจว่าคนๆ นั้นขัดเกลา แล้วก็อาจจะคิดว่าฤาษีนี้ก็ดี อยู่ในป่าคงละอะไรได้มากมาย เพราะไม่รู้นั่นเอง
ผู้ฟัง ในอรรถกถา ในสัลเลขกถา ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรคท่านก็แสดงไว้ชัดเจนว่า อย่างอื่นไม่ใช่ขัดเกลา ต้องเป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้น