โวฏฐัพพนจิตของพระอรหันต์
ผู้ฟัง โวฏฐัพพนจิตของปุถุชนธรรมดา ก็จะตัดสินว่าจะเป็น กุศล อกุศล ใช่ไหม แต่ถ้าโวฏฐัพพนจิตของพระอรหันต์ จะตัดสินว่าอะไร สัมปยุตหรือไม่สัมปยุต หรือเป็นอเหตุกะ
ท่านอาจารย์ ไม่มีเวลามานั่งคิดอย่างนี้เลย จิตเกิดดับเร็วมาก เพียงแต่ว่าทำกิจ จะใช้ภาษาไทยที่เข้าใจได้ก็คือ กระทำทาง ถ้าเป็นภาษาบาลี โวฏฐัพพนะ ก็เป็น ชวนปฏิปาทกมนสิการ หมายความว่าเป็นบาทเฉพาะที่ชวนจิตจะเกิด หมายความว่าชวนจิตจะเกิดโดยที่โวฏฐัพพนะไม่เกิดไม่ได้หรือว่าชวนจิตจะเกิดโดยมโนทวาราวัชชนจิตไม่เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็แสดงว่า ทุกครั้งที่มีกุศลจิต อกุศลจิตเกิด ต้องเกิดต่อจากมโนทวาราวัชชนะถ้าเป็นทางมโนทวาร และเกิดต่อจากโวฏฐัพพนะถ้าเป็นทางปัญจทวาร
ผู้ฟัง ถ้าเป็นพระอรหันต์
ท่านอาจารย์ เหมือนกัน หมายความว่า ถ้ามโนทวาราวัชชนจิตไม่เกิด มหากิริยาก็เกิดไม่ได้ หรือว่าทางปัญจทวาร โวฏฐัพพนจิตไม่เกิดกิริยาจิตก็เกิดไม่ได้ จากภวังค์แล้วจะไปเป็นมหากิริยาจิต หรือว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่กุศลจิต อกุศลจิต ทันทีไม่ได้ ต้องเป็นวิถีจิตตามลำดับ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า อะไรเป็นวิถีจิตแรกทางปัญจทวาร และอะไรเป็นวิถีจิตแรกทางมโนทวาร เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่า จากภวังค์แล้วก็จะเป็นจิตอื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้นนอกจากปัญจทวาราวัชชนจิต หรือมโนทวาราวัชชนจิต เท่านั้น
ผู้ฟัง กระทำทาง ถ้าเป็นพระอรหันต์ หลังจากที่จะทำทางเสร็จแล้วมาที่ชวนจิต
ท่านอาจารย์ เป็นกิริยาจิต
ผู้ฟัง จะเป็นสเหตุกกิริยาก็ได้ เป็นอเหตุกกิริยาก็ได้ หรือว่าญาณสัมปยุตก็ได้ หรือญาณวิปยุตก็ได้หมด
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง หมายความว่าต้องเกิดก่อนชวนะแน่นอน ถ้าเป็นทางปัญจทวาร โวฏฐัพพนจิต ทางโวฏฐัพพนกิจ เกิดก่อน ถ้ามโนทวารก็มโนทวาราวัชชนจิต เมื่อไหร่จะรู้อย่างนี้ คงไม่ต้องจะรู้อย่างนี้ เพียงแต่ว่าให้เข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นนามธรรม และเป็นรูปธรรม แต่ว่าศึกษาฟังความละเอียด เพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่าไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมได้เลย สภาพธรรมทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย