โลภมูลจิต กับ สหชาตาธิปติปัจจัย
โลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม คำถามเปลี่ยนแล้วใช่ไหมคะเมื่อกี้โลภเจตสิกเป็นเห-ตุปัจจัยแต่ไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่า โลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัยได้ไหม ?คำตอบ คือ ได้เพราะเหตุว่าโลภมูลจิตเป็นชวนจิตซึ่งประกอบด้วย ๒ เหตุ เป็นหนึ่งในชวนจิต ๕๒ ดวงซึ่งเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย ซึ่งได้เคยเรียนให้ทราบแล้วทุกท่านก็ทราบแล้วว่า โลกียวิบากจิตทั้งหมดไม่เป็นอธิบดี และสำหรับจิตซึ่งจะเป็นอธิปติปัจจัยได้ต้องเป็นขณะที่ทำชวนกิจเป็นจิตซึ่งมีกำลัง แล้วต้องประกอบด้วยเหตุ ๒จิตซึ่งไม่ประกอบด้วยเหตุ ซึ่งทำชวนกิจ ได้แก่หสิตุปปาทจิต ซึ่งเป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์ยิ้มหรือแย้ม ในขณะนั้นไม่เป็นสหชาตาธิปติ
โมหมูลจิตก็ไม่เป็นสหชาตาธิปติ เพราะเหตุว่าเป็นจิตซึ่งไม่มีกำลัง ประกอบด้วยเหตุเดียว แต่โลภมูลจิตทำชวนกิจ ประกอบด้วย ๒ เหตุ เพราะฉะนั้นเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย
เรื่องละเอียดที่จะเข้าใจสภาพธรรม ซึ่งทุกคนมีตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง ซึ่งจะเห็นความเป็นอนัตตาว่า แม้สภาพธรรมซึ่งเป็นเจตสิกเป็นเหตุจริง ไม่เป็นสหชาตาธิปติปัจจัย แต่สำหรับโลภมูลจิตเป็นสหชาตาธิปติปัจจัย
ชีวิตประจำวันหรือเปล่าคะ ที่ตอบว่าเป็นได้ ทราบโดยเหตุผล แต่ในชีวิตประจำวัน สามารถที่จะรู้ลักษณะของจิตตาธิปติไหมคะ ในขณะที่เป็นโลภมูลจิต ทุกคนมีโลภมูลจิต และเป็นจิตตาธิปติปัจจัยด้วย แต่จะทราบไหมว่า ขณะไหน กำลังโลภมูลจิตนั้นเป็นจิตตาธิปติปัจจัย
แต่ขอให้คิดดูว่า ในวันหนึ่ง ๆ ถึงแม้ว่าโลภมูลจิตจะเกิด มีขณะใดบ้างซึ่งปรากฏลักษณะของโลภะ เพราะหลายท่านกล่าวว่า ท่านไม่มีโลภะ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าแม้โลภะจะเกิดแม้โลภมูลจิตจะเกิด แต่ก็ไม่ใช่จะปรากฏลักษณะสภาพของโลภะ หรือสภาพของความต้องการ แม้ว่าความต้องการนั้นจะเกิดอยู่เป็นประจำ
เพราะฉะนั้นในขณะที่ฉันทะเป็นอธิบดี ก็ยังเห็นได้ว่า แต่ละท่านทำตามสิ่งที่ท่านพอใจ ท่านพอใจสิ่งใดท่านก็ทำสิ่งนั้น ขณะนั้นฉันทะเป็นอธิบดีบางครั้งไม่ได้ทำด้วยความพอใจ แต่ประกอบด้วยวิริยะซึ่งต้องการให้กิจการงานนั้นสำเร็จ ในขณะนั้นวิริยเจตสิกก็เป็นอธิปติ ในขณะใดที่ปัญญากระทำกิจของปัญญา เห็นชัดว่าเป็นการรู้ เป็นสภาพที่เข้าใจ ในขณะนั้นปัญญาก็เป็นอธิบดีแต่ในขณะซึ่งโลภมูลจิตซึ่งมีอยู่เป็นประจำเป็นอธิปติปัจจัย จะเป็นในขณะไหน
ท่านที่เป็นนักค้นคว้า หรือว่านักวิทยาศาสตร์ หรือว่านายแพทย์ หรือศัลยแพทย์ ขณะที่กำลังทำการผ่าตัด จิตเป็นอะไร จะบอกได้ไหมว่า ไม่มีโลภะ จะกล่าวได้ไหมว่าในขณะนั้นไม่เป็นโลภะ
กุศลจิตจะเกิดตลอดเวลา หรือว่ามีความสนใจ มีความตั้งใจ มีความเอาใจใส่ เพื่อที่จะให้กิจธุระนั้นสำเร็จ อย่าปนกัน ขณะจิตนี้เกิดดับอย่างรวดเร็ว นักวิทยาศาสตร์นักฟิสิกส์หรือนักเคมี ก็ตามแต่สนใจศึกษาในเรื่องนั้น ๆบางท่านอาจจะตลอดเวลาทีเดียว หลายชั่วโมง ขณะนั้นจะกล่าวได้ไหมว่า ไม่เป็นโลภมูลจิต ไม่ได้
แต่ว่าถ้าจะมีใครกล่าวว่า ขณะนั้นไม่เป็นโลภมูลจิต ก็เพราะลักษณะของโลภเจตสิกไม่ปรากฏถูกไหมคะ ไม่เป็นอธิปติปัจจัย เพราะเหตุว่าโลภเจตสิกไม่เป็นอธิปติปัจจัย แต่ว่าโลภมูลจิตเป็นอธิปติปัจจัยในขณะนั้นมีความต้องการที่จะให้สิ่งนั้นสำเร็จหรือเป็นไปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาโบราณคดี หรือวิทยาศาสตร์ หรือการศึกษาด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม หรือการกระทำกิจการงานด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม เช่น บางท่านอาจจะไม่สนใจเรื่องการทำอาหารเลย แต่เวลาที่มีใครกำลังทำอยู่ หรือชักชวนให้ทำก็อาจจะเกิดความต้องการที่จะทดลองดูว่าตนเองสามารถจะกระทำได้ไหม ในขณะนั้นไม่ได้ปรากฏว่ามีโลภะ มีความพอใจอย่างหนักแน่นเลยเพียงแต่มีความต้องการที่จะพิสูจน์ หรือว่าทดลองว่า ตนเองสามารถจะกระทำได้ไหม ในขณะนั้นโลภมูลจิตเป็นจิตตาธิปติปัจจัยแต่ว่าลักษณะของโลภเจตสิกไม่ได้ปรากฏที่จะให้เห็นว่า เป็นโลภะ ซึ่งคนส่วนใหญ่กล่าวว่า ไม่มีโลภะ เพราะเหตุว่าลักษณะของโลภเจตสิกไม่เป็นอธิปติปัจจัย แต่ลักษณะของโลภมูลจิตเป็นอธิปติปัจจัยแน่นอน
นี่ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ซึ่งจะต้องศึกษาโดยละเอียดจริง ๆ และถ้าศึกษาโดยละเอียดจริงๆ จะยิ่งละเอียดกว่านี้มากทีเดียว นี่เป็นแต่เพียงการกล่าวถึงสภาพธรรมซึ่งเป็นปัจจัย เพื่อที่จะให้เห็นว่า การที่จะเข้าใจสภาพธรรมถูกต้องต้องฟังโดยละเอียดพิจารณาโดยละเอียด และอบรมเจริญปัญญาโดยละเอียด จนกว่าจะประจักษ์จริง ๆ ว่าสภาพธรรมที่เกิดปรากฏนั้นก็เพราะปัจจัยต่าง ๆ