การรู้ปัจจัยจริงๆ ที่ไม่ใช่คิด ต้องเป็นวิปัสสนาญาณ
อ.กุลวิไล การที่เห็นถึงความเป็นปัจจัย อย่างเช่น จักขุปสาท เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ เพราะว่าขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ขณะนั้นก็รู้ถึงความเป็นปัจจัยของสภาพธรรมที่มีในขณะนั้นด้วย ถ้าผู้ที่ฟังธรรมแล้วกล่าวว่า แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่จริงๆ แล้วถ้าเขาไม่เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่เป็นจริง โดยกล่าวตาม ขณะนั้นก็ไม่ใช่เป็นความที่เข้าใจถูกตรงลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นถ้าผู้นั้นเป็นผู้ที่ไม่รู้ถึงสภาพธรรมที่เป็นจริง ก็อาจจะไม่เห็นถึงความต่างของขณะที่สติเกิด แล้วก็ขณะที่หลงลืมสติ เพราะว่าการที่เขากล่าวไปโดยกล่าวตาม แล้วไม่เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความเข้าใจที่เป็นปัญญา ที่จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่มีจริง จะค้านกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นจะยอมรับไหมว่า สภาพธรรมที่เกิดเพราะมีปัจจัย หรือว่าสำหรับบุคคลนั้นสภาพธรรมอันเกิดโดยไม่มีปัจจัย ซึ่งพระธรรมทรงแสดงไว้ว่าสภาพธรรมทุกอย่างที่เกิดต้องมีปัจจัย เพราะฉะนั้นต้องตรงกันหมด ค้านไม่ได้ ถ้าค้านก็คือว่าเขาไม่ได้เข้าใจความจริงเลย พูดตาม แต่ในขณะเดียวกันเพราะไม่รู้ความจริง ก็เข้าใจว่ามีตัวตน ที่สามารถจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ และการรู้ปัจจัยจริงๆ ที่ไม่ใช่คิด ก็ต้องเป็นวิปัสสนาญาณด้วย เพราะว่าธรรมทั้งหมดเป็นอย่างนั้น แต่ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ จึงทรงสามารถบัญญัติสิ่งที่มี ที่ยากต่อการที่จะรู้ได้ ออกมาเป็นคำที่สามารถจะให้คนอื่นได้ยินได้ฟัง แล้วค่อยๆ พิจารณา จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่เช่นนั้นสภาพธรรม ไม่มีชื่อเลย ไม่ต้องเรียกอะไรเลย แต่เป็นความจริง ซึ่งสภาพธรรมใด มีลักษณะอย่างใด สภาพธรรมนั้นก็เกิดขึ้น มีลักษณะอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย แม้แต่การเกิดดับของสภาพธรรมก็เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไม่มีคำที่จะอธิบายใครๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ถึงลักษณะของสภาพธรรมนั้นได้ แต่ต้องเข้าใจ ว่าขณะที่คิดไม่ใช่ขณะที่สติสัมปชัญญะกำลังรู้ตรงลักษณะ ซึ่งขณะใดที่สติสัมปชัญญะรู้ตรงลักษณะ ขณะนั้นไม่มีคำ แต่พอนึกถึงคำ ไม่ใช่ขณะนั้นแล้ว เปลี่ยนแล้ว เป็นจิตอีกประเภทหนึ่งแล้ว