ขณะที่ขัดเกลา คือ ขณะที่ปัญญาเกิด
ท่านอาจารย์ ความรู้ความเข้าใจของเราจะเพิ่มขึ้น และจะเข้าใจความหมายของขัดเกลาละเอียดขึ้น ซึ่งก่อนที่เราจะมีความรู้ เราก็เข้าใจว่าเราเคยเป็นคนที่อาจจะร้าย ทางกาย ทางวาจา แล้วพอไม่เกิดเพราะมีความเข้าใจในธรรม เราก็เข้าใจว่าขณะนั้นขัดเกลา เพราะปัญญาของเราอยู่ระดับนี้ แต่ต่อไปนี้เราจะรู้เลย ตราบใดที่ยังมีเราอยู่ ไม่ได้ขัดเกลาความไม่รู้ ไม่ได้ขัดเกลา อวิชชา แต่ว่าไม่มีปัจจัยที่โลภะจะเกิด โทสะจะเกิด อาจจะเพราะความรักตัวแล้วกลัวสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นกับตัว เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าทุกอย่างที่เราใช้คำ จะมาจากพื้นฐานที่เกิดจากความเข้าใจของเราตามลำดับขั้น ขั้นที่ยังไม่มีความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น และเราเห็นฤาษีในป่า เราก็คิดว่าเขาขัดเกลา เราอาจจะใช้คำนี้ก็ได้ เขาสามารถจะไปอยู่ในป่าไม่ข้องแวะกับใคร ไม่ต้องไปดูหนังดูละคร เราก็เข้าใจว่าฤาษีขัดเกลาโดยการอยู่ในป่า ก็อาจจะคิดว่า นั่นเป็นหนทางขัดเกลา เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีความรู้เพิ่มขึ้น เราก็จะรู้ได้ว่า ที่เราไม่ได้กระทำกายวาจาที่ไม่ดีเพราะอะไร ถ้าเป็นเพราะรักตัวเองมาก จะขัดเกลาอะไรหรือเปล่า ขณะนั้นก็ยังรักตัวเองอยู่นั่นแหละ ทุกอย่างก็เพื่อตัวเอง
เพราะฉะนั้นปัญญาของเราที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จึงจะรู้ได้ขณะไหนจริงๆ เป็นการขัดเกลา เพราะว่าขณะนั้นสามารถขัดเกลาจริงๆ จนกระทั่งถึงการที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท แต่ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้น จะทำอะไรสักเท่าไหร่ก็คือด้วยความไม่รู้อยู่นั่นแหละ อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร เป็นปัจจัยแก่ทั้ง ปุญญาภิสังขาร และอปุญญาภิสังขาร แต่เป็นอวิชชา เพราะฉะนั้นอวิชชา ก็ไม่ได้ขัดเกลา ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้น แต่อย่างที่เราได้กล่าวถึง ว่าสำหรับคนทั่วไปก็จะกล่าวว่าเป็นการขัดเกลา เพราะฉะนั้นตามความรู้ความเข้าใจตามลำดับ ยิ่งรู้ก็จะยิ่งเข้าใจว่า ขัดหรือไม่ขัด ยังมีอยู่เต็มที่ แต่ว่าพอเริ่มที่จะมีความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม
อย่างผู้ที่ก่อนจะเป็นพระโสดาบัน กาย วาจาของท่านก็แต่ละบุคคล ตามการสะสมมาทั้งนั้นเลย ขณะนี้เราก็กำลังสะสม และชาติก่อนๆ เราก็ได้สะสมมา ที่ทำให้เราเป็นบุคคลที่ต่างกัน ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งความคิด ชาติก่อนก็เคยทำอย่างนี้ ชาติก่อนๆ โน้นก็เคย ชาตินี้ก็เคย แต่ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า เมื่อมีปัจจัยของสภาพธรรมใดจะเกิด สภาพธรรมนั้นก็เกิด จนกว่าเมื่อมีความเข้าใจธรรม ก็จะรู้ได้ว่าความเข้าใจธรรมขั้นปริยัติ ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้ เพราะว่าเป็นเราที่รู้ แล้วก็เป็นเราที่เข้าใจ แต่เวลาที่มีการอบรมเจริญปัญญา นั่นเป็นหนทางที่จะขัดเกลา แต่ว่าสติปัฏฐานวันหนึ่งๆ ก็น้อยมาก หรืออาจจะหลงลืม เพราะว่าแต่ละคนจะสะสมมามากน้อยต่างกัน ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าในยุคนี้สมัยนี้ ซึ่งพระศาสนาจะอันตรธาน เมื่อพระโสดาบันท่านสุดท้ายสิ้นชีวิต ก็ลองคิดดูว่าใกล้ต่อการที่จะอันตรธาน แต่เครื่องหมายที่จะรู้ได้ว่าจะอันตรธาน ก็คือผู้ที่เป็นพระโสดาบันท่านสุดท้ายสิ้นชีวิต
ความเข้าใจพระธรรม สามารถที่จะเข้าใจเพียงขั้นอ่าน แล้วก็คิดว่าเข้าใจ หรือคิดว่าเป็นผู้รู้ภาษาบาลี รู้คำแปลของคำนี้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ นิรุตติปฏิสัมภิทา หมายความถึงว่าสามารถเข้าถึงอรรถของคำ ถ้าเราเพียงแต่แปลได้แต่เราไม่รู้เลยว่าคำนั้นหมายความว่าอะไร ความหมายนั้นลึกระดับไหน ก็จะไม่ใช้ นิรุตติปฏิสัมภิทา เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ท่านมีปฏิสัมภิทา ซึ่งเป็นสุทธิกปฏิสัมภิทา หมายความว่าปฏิสัมภิทาของท่านเป็นระดับของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่พิเศษสำหรับผู้ที่มีการอบรมมากกว่านั้น ที่จะเป็นปฏิสัมภิทา ที่คล่องแคล่วว่องไว เฉียบแหลม คมกล้า มากกว่าผู้ที่ไม่ได้สะสมมา ที่จะเป็นผู้ที่สามารถมีปฏิสัมภิทาถึงระดับนั้น
เพราะฉะนั้นจะเห็นระดับขั้นของปัญญา และความเข้าใจธรรมได้ ส่วนใหญ่ธรรมคิดเองถ้าไม่เรียน คิดเองทั้งนั้นเลย แต่พอเริ่มเรียนจะเห็นความห่างไกลของความที่เราเข้าใจเองคิดเองว่ายังไม่ตรง ยังไม่ใช่ ยังไม่ถึง เพราะฉะนั้นที่เคยเข้าใจว่าขัดเกลา ก็คือเราเข้าใจของเรา ว่าคือการขัดเกลาแล้ว แม้แต่สติปัฏฐาน ที่ไม่ถึงวิปัสสนาญาณ ก็ยังไม่ได้ขัดเกลา ค่อยๆ ไปตามระดับขั้นของปัญญา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่หนทาง เป็นหนทางแต่ยังไม่ถึงระดับขั้น เพราะเหตุว่าสติปัฏฐานในชั่วขณะที่น้อยมาก หมดแล้ว เหมือนเดิม คนเก่า ทุกอย่างตามการสะสม และถึงแม้ว่าเป็น พระโสดาบันแล้ว หมดความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ไม่เกิดอีกเลย ก็ยังไม่ใช่พระสกทาคามี เพราะฉะนั้นผู้นั้นถึงจะเข้าใจความหมายของคำว่าขัดเกลา ด้วยปัญญาที่รู้ความจริง ถ้าใช้คำนี้ก็หมายความว่าเริ่ม ที่จะค่อยๆ หมดความเป็นตัวตน และก็เริ่มที่จะค่อยๆ หมดกิเลส ซึ่งลึกมาก แล้วก็เหนียวแน่นมาก แสนโกฏกัปนานมาแล้ว วันนี้ก็ตั้งเท่าไหร่ นิมิตอนุพยัญชนะ ทั้งทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะถ้าไม่เห็นกิเลสจริงๆ ไม่สามารถที่จะขัดเกลาได้เลย เพราะเหตุว่าคิดว่ามีน้อย หรืออาจจะคิดว่าขัดเกลาบ้างแล้ว แต่นั่นคือเพราะไม่มีปัจจัยที่จะเกิด เพราะมีความเข้าใจในเบื้องต้นคือขั้นการฟัง ก็ทำให้มีการระลึกได้ ขณะนั้นไม่เป็นปัจจัยที่จะให้อกุศลเกิด แต่ว่ายังมีความเป็นเราอยู่
เพราะฉะนั้นการที่จะใช้คำว่าขัดเกลาตามความเข้าใจ ที่จะละเอียดขึ้นละเอียดขึ้นๆ แต่ถ้าเรามีความรู้เพิ่มขึ้นๆ เราจะรู้เลยว่าเราขัดรึเปล่า แล้วถ้าขัดเกลาจริงๆ ต้องเป็นปัญญาด้วย แล้วก็ระดับไหน ถ้าระดับเพียงขั้นการฟัง ก็ยังเป็นอย่างนี้ แต่ว่าสะสมปัจจัยที่จะทำให้มีความเข้าใจสภาพธรรม สะสมปัจจัยที่จะทำให้มีการระลึก แล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จนกว่าเมื่อไรมีความรู้ชัดขึ้นเป็นวิปัสสนาญาณ อันนั้นก็จะรู้เลยว่า จะทำให้ความเป็นตัวตนค่อยๆ ลดลง เราจะใช้คำนี้ตามกำลังความเข้าใจของเรา ถ้าเราไม่เคยศึกษาธรรมเลย เราเห็นฤาษีในป่า เราบอกว่าเขาขัดเกลา เพราะเขาสามารถอยู่ในป่าได้ ไม่ได้ออกมารับประทานอาหารอร่อย ดูหนัง ดูละคร กับญาติมิตรสหายเลย เราไปใช้คำว่าขัดเกลากับฤาษีในป่า เพราะเหตุว่าเราคิดว่าขณะนั้น และเขาสามารถกระทำได้ แต่ตามความจริงพระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงคำ ตรงกับลักษณะของสภาพธรรม แต่ว่าสำหรับเราเอง เราจะมีการที่เข้าใจธรรมโดยคิดเองก่อนที่จะได้ศึกษา แต่พอศึกษาแล้วเราจะค่อยๆ เข้าใจความละเอียดขึ้น และเมื่อมีปัญญาเพิ่มขึ้น เราก็จะรู้เลยว่าเราจะขัดเกลาโดยทั่วไปที่กล่าวไว้ ต้องมุ่งหมายถึงการที่สามารถ ที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ อันนั้นคือการขัดเกลา
ผู้ฟัง ความหมายของขัดเกลา ในที่นี้ต้องไปถึงตรงนั้น
ท่านอาจารย์ ชาวบ้านทั่วไปใช้ได้ เราจะใช้ เราก็ใช้ ว่านี่เขาคงขัดเกลากายวาจาของเขา ก็ถูกต้อง เป็นภาษาที่เรียกว่า ภาษาทั่วไป เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าแม้ในพระไตรปิฎก อย่างในพระสูตรหนึ่งที่กล่าวถึงที่มูลนิธิ ฯ " ก็ผู้ที่บำรุงมารดาบิดา เป็นอริยบุคคล " แต่ไม่ได้หมายความถึงพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้นตรงนั้นใช้ในความหมายไหน ใช้ในความหมายว่าเป็นผู้ที่เจริญ มีคุณธรรม แต่ไม่ได้หมายความถึงพระอริยบุคคล