เครียดแล้วไปนั่ง ไม่หายเครียดใช่ไหม


    ผู้ฟัง ได้ศึกษาธรรมเอง ซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็พิจารณาดูไป ก็ศึกษาไปก็เห็นความเป็นจริง ตามหนังสือที่ศึกษา อย่างอิทัปปัจจยตา อะไรหลายๆ อย่าง ซื้อมาอ่านก็รู้สึกว่าจะมีความเป็นจริงตามนั้น ก็มีจิตศรัทธาที่จะปฏิบัติด้วยตนเอง แต่ก็เคยไปปฏิบัติมากับพระอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็จะมีความรู้สึกว่า เข้าใจผิดนิดหน่อย ที่ตรงข้ามกับอาจารย์ที่พูดเมื่อสักครู่ว่า เราจะมีความเครียดแล้วไปนั่ง นี่หาย ไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ขอทำความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติก่อน คือในภาษาไทยเรา เราใช้คำว่า ปฏิบัติ หมายความถึง การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ใช่ไหม อย่างสมมติว่านั่งอยู่อย่างนี้ บางคนก็อาจจะคิดว่าไม่ได้ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติก็คือทำ ในภาษาไทย เพราะฉะนั้นบางคนก็คิดว่าต้องทำ หรือไปทำ แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้ว สภาพธรรมทุกอย่าง มีกิจการงานหน้าที่ของสภาพธรรมนั้น เช่น โลภะ ความต้องการ เกิดขึ้นขณะใด เป็นสภาพที่ติดข้องไม่ยอมสละ โทสะเกิดขึ้นขณะใด จิตจะกระด้าง แล้วก็มีความขุ่นเคือง ประทุษร้าย เบียดเบียน นั้นเป็นกิจการงานของสภาพธรรมนั้นๆ

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า สิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมด เป็นธรรมแต่ละอย่าง นี่เป็นสิ่งซึ่งเราอาจจะไม่เคยคิด ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ก็คือแสดงเรื่องจริง ซึ่งมีอยู่แก่ทุกคน และสิ่งต่างๆ ที่มี ที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเรา แท้ที่จริงก็เป็นธรรม ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ก็จะรู้ว่าตาก็เป็นธรรม หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ความสุข ความทุกข์ ความริษยา ความมานะ ความสำคัญตน ความเกียจคร้านความง่วงนอน ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม คือทรงแสดงเรื่องสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งทุกคนมี แต่ว่าไม่เคยเข้าใจ แล้วก็มายึดถือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นก็เลยมีความคิดว่า เราทำ หรือว่าเราปฏิบัติ แต่แท้ที่จริงแล้วธรรมนั่นเอง ปฏิบัติกิจของธรรมนั้นๆ อย่างเวลาที่เมตตาเกิด เมตตา คือ ความเป็นมิตรความเป็นเพื่อน ความหวังดี ความปรารถนาดี ถ้าเราเป็นเพื่อนกับใคร จะสังเกตได้เลย เราคิดถึงแต่จะให้ประโยชน์กับเขา ไม่เคยคิดที่จะเบียดเบียนทำร้ายเลย นั่นคือลักษณะของเพื่อนจริงๆ ซึ่งความจริงแล้วเป็นสภาพของธรรมชนิดหนึ่ง คือ เมตตา ในภาษาบาลี ซึ่งภาษาไทยเราก็ใช้คำว่ามิตรหรือคำว่าเพื่อน

    เพราะฉะนั้นเวลาไหนที่เราเกิดหวังดีต่อใคร ให้ทราบว่าสภาพธรรมนั้น เกิดขึ้นกำลังทำกิจหวังดี แต่เวลาที่โกรธ ทั้งๆ ที่เราบอกว่าคนนี้เป็นเพื่อนเรา แต่ลองคิดดู ว่าเราเคยโกรธเพื่อนคนนั้นไหม ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพื่อนเรา แต่เราก็ยังเคยโกรธเขา เพราะฉะนั้นเวลาที่ลักษณะสภาพธรรมที่โกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ก็ทำกิจของธรรม คือ ไม่ชอบใจเลยในการกระทำของคนนั้นในเรื่องนั้น

    เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงให้เห็นว่า ธรรมปฏิบัติกิจของธรรม ไม่ใช่มีเราเป็นตัวตนซึ่งจะทำ อย่างขณะนี้ที่ทุกคนกำลังนั่ง และก็ตั้งแต่เกิดมากี่ชาติก็ตาม เวลาไหนที่ไม่ได้รับฟังพระธรรม และก็จะคิดว่าเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ของเราหมดเลย เกิดมาอย่างไร มาจากไหน ได้มาอย่างไร ไม่สำคัญเท่ามาอยู่ตรงนี้ แล้วก็ยึดถือเอาเลยว่าเป็นเรา

    เพราะฉะนั้นก็ไม่เคยเข้าใจว่า เห็น ขณะนี้มี กำลังทำกิจเห็น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงชนิดหนึ่ง และขณะนี้ก็มีได้ยิน ได้ยินกับเห็น ไม่เหมือนกันเลย เห็น ต้องอาศัยจักขุปสาท กับสิ่งที่มากระทบตา แล้วจึงเห็นสิ่งนั้น ถ้าทางหูในขณะนี้ที่กำลังได้ยิน ต้องมีโสตปสาท ถ้าไม่มีโสตปสาท อย่างไรๆ การได้ยินก็เกิดขึ้นไม่ได้ ถึงแม้คนที่มีโสตปสาท แต่ถ้านอนหลับก็ไม่ได้ยินอีก ใช่ไหม ถึงแม้ว่ามีเสียง นี่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่การได้ยินชั่วขณะนิดหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นกระทำกิจได้ยินเสียง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วไม่มีใครทำด้วย แต่จิตนั้นเกิดขึ้นทำกิจได้ยินแล้วก็ดับ ไม่ใช่ในขณะที่คิดนึก

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นปฏิบัติกิจของธรรม มีสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งภาษาไทยเราก็ใช้บ่อย คือคำว่า สติ คงไม่มีใครไม่ใช้คำนี้ ใช่ไหม แต่ว่าใช้ผิดอย่างเคย คืออะไรๆ ก็ต้องผิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่เรียนจริงๆ ตามพระพุทธศาสนา และเราก็แปลความหมายเอาเอง อย่างบางคนเขาบอกว่าเดินข้ามถนน และรถไม่ชน ก็มีสติ หรือว่าปอกผลไม้ มีดไม่บาดก็มีสติ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว สติจริงๆ ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี เป็นสภาพธรรมที่มีการระลึกได้ ที่เป็นไปในทางกุศลทั้งหมด

    อย่างวันนี้มีใครคิดให้ทานบ้างหรือยัง ทานที่นี่ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นวัตถุมโหฬาร ใหญ่โต แม้แต่เพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น อาจจะเป็นคนที่ไม่มีกระดาษเช็ดมือ แล้วเรามี เราให้ ขณะนั้นก็เป็นทาน เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์กับผู้รับ และเราก็มีจิตที่จะไม่เห็นแก่ตัว คือไม่ลำบากในการที่จะให้คนนั้นเลย มีความเป็นเพื่อน และก็มีการช่วย มีการให้สิ่งนั้นไป ขณะนั้นก็เป็นสภาพของจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งดี ขณะนั้นมีสติเกิดร่วมด้วย จึงเป็นไปในการให้ ถ้าคนไม่มีสติเกิด เห็นคนที่กำลังต้องการกระดาษ และตัวเองก็มี และก็อยู่ในกระเป๋า ก็ไม่เกิดการคิดที่จะเปิดกระเป๋าแล้วหยิบให้ ขณะนั้นก็เป็นธรรมหมด เป็นความตระหนี่ เป็นความเกียจคร้าน เป็นอะไรที่เป็นฝ่ายไม่ดี แต่ถ้าธรรมฝ่ายดี คือ สติมีการระลึกที่จะเป็นไป ในการช่วยเหลือ ในการให้ ขณะนั้นต้องเป็นธรรมฝ่ายดี

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่เราที่ปฏิบัติสมถะ ไม่ใช่เราที่ปฏิบัติวิปัสสนา แต่เป็นสติการระลึกได้ที่จะเจริญกุศล และก็ไม่ใช่กุศลเพียงขั้นเล็กๆ น้อยๆ ทาน ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นการที่จะทำให้จิตของเรา สงบจากอกุศลทุกอย่าง แล้วก็เพิ่มความมั่นคงในการสงบขึ้น นั่นถึงจะเป็นสมถภาวนา แล้วก็สภาพธรรมหลายอย่าง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดีช่วยกัน เกิดขึ้นปฏิบัติกิจ ไม่ใช่มีความเป็นตัวตนว่า อยากจะนั่งให้สงบหรือเครียด และก็อยากจะไม่เครียด แล้วก็เลยไปทำอะไรขึ้นมา แล้วก็คิดว่าขณะนั้นเป็นสมถะ ไม่ใช่ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะได้ยินคำหนึ่งคำได้ ขอให้มีความเข้าใจถูกจริงๆ ในคำนั้น ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเรา นั่นเป็นการเริ่มต้นของปัญญา ซึ่งเกิดจากความเข้าใจถูกต้องทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น แล้วถ้าปราศจากปัญญา อย่าปฏิบัติอะไรทั้งหมด สมถะก็ไม่ได้ วิปัสสนาก็ไม่ได้ ผิดหมด ต้องเป็นปัญญาของเราเอง ซึ่งค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย และก็จะเห็นประโยชน์ของปัญญาเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 3890
    28 ก.ค. 2567