เพราะไม่รู้ความจริงจึงเป็นเรา
เพราะไม่รู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ของทุกอย่างที่มี ไม่ได้รู้ความจริงเลย เมื่อไม่รู้ความจริงก็ยึดถือสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนี้ทุกคนก็เห็นต้นไม้ เห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ เห็นคน แต่ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นลักษณะที่มีจริงๆ ที่สามารถกระทบจักขุปสาท คือ ตา แล้วก็มีจิตเห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏได้ เราอยู่ตรงไหน แต่เพราะไม่รู้ ก็เป็นเราเห็น เพราะไม่รู้ ก็เป็นเราได้ยิน เป็นเราไม่รู้กี่ภพกี่ชาติก็ตามแต่ จนกว่าจะได้มีโอกาสฟังพระธรรม แล้วรู้ว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ ขณะนี้
ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ต้องรีบร้อนไปไหนไปไม่ได้คะ ไปด้วยความไม่รู้ไปทำไม ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นอยู่ตรงนี้ ขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็กำลังฟังเรื่องธรรมด้วย ให้ค่อยๆสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แล้วก็รู้ด้วยว่า เริ่มเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงๆ เป็นเพียงชั่วขณะที่ปรากฏ ถ้าขณะนี้ไม่มีเห็น สิ่งต่างๆ ขณะนี้ปรากฏไม่ได้เลย ขณะนี้เหมือนเราได้ยินเสียง แต่ถ้าไม่มีได้ยินกับเสียง ก็ไม่มีเรา แต่เพราะเหตุว่ามีเสียงแล้วก็สภาพที่ได้ยินกำลังได้ยิน ชั่วขณะที่เสียงกำลังปรากฏ เสียงหมดไปแล้วจะได้ยินต่อไปได้ไหมคะ
เพราะฉะนั้นเราอยู่ที่ไหน ขณะที่ได้ยินเสียง มีเสียงกับมีได้ยิน และเสียงก็หมดไป เมื่อเสียงหมดไป จะให้ได้ยินเสียงต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะใดที่ไม่รู้ เป็นเราได้ยิน แต่ว่าเมื่อเสียงเกิดแล้วก็ดับ และจิตที่กำลังรู้เสียงก็ต้องดับด้วย ในเมื่อเสียงดับแล้ว จะไปได้ยินเสียงต่อไปได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นเราหรือเปล่าที่ได้ยิน หาไปเถอะคะไม่มีเราเลย แต่มีความไม่รู้ จึงเข้าใจว่าเป็นเรา แค่นี้ก็ยากแล้วใช่ไหมคะ ไม่มีวิชาไหนจะยากเท่ากับพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ หรือว่านักวิทยาศาสตร์ หรือใครก็ตาม ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏเลย จนกว่าจะเป็นผู้ที่ได้ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจ และสะสมความเข้าใจถูก เป็นการละโลภะ หรือความติดข้องต้องการ