สัมมาอาชีวะ กับ เรื่องละ
อ.อรรณพ ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ ได้เพิ่มเติมในความละเอียดในเรื่องสัมมาอาชีวะ
ท่านอาจารย์ เวลาที่ฟังพระธรรม ก็มีทั้งจิต เจตสิกมาก อยากจะรู้จริงๆ ว่าเจตสิกแต่ละอย่างเป็นอย่างไร แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถที่จะไปเข้าใจอย่างที่เราต้องการได้ ด้วยความเป็นตัวตน เช่นอยากจะรู้ลักษณะของ ผัสสะ ชีวิตินทรียเจตสิก สัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตเจตสิก ก็เป็นชื่อของสภาพธรรมที่มีจริงๆ แต่ว่าการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เรื่องละลืมไม่ได้เลย ถ้าเรื่องเลือกเพราะอยากจะรู้หรือต้องการจะรู้ จะปิดกั้นทันที เพราะเหตุว่าไม่เข้าใจเลยว่านี่เป็นเรื่องละ และก็ไม่ใช่กะเกณฑ์ตัวเราด้วย ว่าอยากจะรู้ลักษณะของเจตสิกนั้นเจตสิกนี้ วิตกเจตสิก วิจารเจตสิก ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะเหตุว่า ตามการศึกษาก็ทราบว่าสภาพธรรมเป็นอย่างนั้น ในขั้นฟังเข้าใจหมดเลย เจตสิก ๕๒ ต่างกันอย่างไร ก็เข้าใจ แต่ว่าตัวสภาพธรรมจริงๆ จะรู้ไหม หรือว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อสติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมใด ก็มีความเห็นถูกลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เรา เพราะว่าจะต้องละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ที่เคยยึดถือทั้งจิต และเจตสิก ทั้งรูป ทั้งหมดนี้ว่าเป็นเรา
เพราะฉะนั้นเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ต้องเริ่มตั้งแต่แรกทีเดียว ว่าพ้นจากการครอบงำของโลภะ เพราะว่าโลภะจะครอบงำทันที อยากจะทำ อยากจะเลือก อยากจะไป ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของโลภะทั้งหมดที่กั้น เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า กว่าจะพ้นการครอบงำของโลภะ ซึ่งเราไม่เคยรู้ตัวเลย ในสังสารวัฏทั้งหมดนี้ ถูกครอบงำด้วยโลภะตลอดวัน ไม่ว่าเราจะต้องการอะไร เราแสวงหาสิ่งที่เราต้องการ ใครต้องการ โลภะต้องการ เพื่อที่จะได้สิ่งที่โลภะพอใจ เพราะฉะนั้นไม่รู้เลย พอมาถึงได้ฟังธรรม โลภะก็ยังติดตามมาได้ จนถึงได้ยินเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา โลภะก็ยังติดตามมาได้ มิฉะนั้นจะไม่มีมิจฉามรรค แต่ว่าในพระธรรมทรงแสดงไว้ทั้งมิจฉามรรค และ สัมมามรรค เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียด และที่จะใช้คำว่า อาจหาญร่าเริง คือว่ารู้ว่าเป็นเรื่องที่บังคับบัญชาไม่ได้ และไม่ใช่ว่าเราฟังธรรมวันนี้ สติปัฏฐานระลึกวันนี้ เราจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมวันนี้ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นก็ต้องอาจหาญร่าเริง ที่จะรู้ว่าเป็นการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีแล้วไม่รู้ เพราะสติสัมปชัญญะไม่ได้ระลึก อย่างทางตา ฟังมาเท่าไหร่ก็เป็นนามธรรม แต่ว่าสติสัมปชัญญะก็ไม่ได้ระลึก เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่จะรู้ว่าไม่ใช่เรา หรือว่าแข็งที่กำลังปรากฏก็เป็นโผฏฐัพพอายตนะ เป็นโผฏฐัพพธาตุ เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่ว่าถ้าสติสัมปชัญญะไม่ระลึก หรือระลึกนิดเดียว แล้วก็หลงลืมสติไป ก็ไม่สามารถที่จะรู้ว่า ทันทีที่หลงลืมสติ ก็เหมือนเดิมคือเป็นเรานั่นแหละ แล้วแต่ว่าเรานั้น จะหวัง จะรอ จะพลิกแพลง จะเปลี่ยน จะทำอะไร ด้วยกำลังของโลภะ
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่จะพ้นจากโลภะ ตามลำดับขั้น คือแม้ในขั้นของการฟัง ก็ไม่ได้ฟังเพราะว่าต้องการอย่างอื่นเลย ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มี ที่ไม่เคยเข้าใจ นี่เป็นประการแรก ถ้าตรงจุดตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะไม่ไปผิด หมายความว่าฟังเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้ไปหวังวิปัสสนาญาณ ไม่ไปหวังสติปัฏฐาน แต่ฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าปัญญาคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก แล้วจะรู้ว่ามีน้อยแค่ไหน รู้ด้วย เพราะว่าที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก ทุกพระสูตร กว้างขวางมากมาย แล้วพระอภิธรรมอีก ข้อความในพระสูตรก็คือพระอภิธรรมนั่นเอง โดยนัยยะที่หลากหลาย ต่างจากโดยโวหาร ซึ่งเป็นการกล่าวถึงสภาพธรรม โดยที่ไม่มีเรื่องราวใดๆ เลยทั้งสิ้น ซึ่งเป็นพระอภิธรรม เพราะฉะนั้นเริ่มเห็นตามความเป็นจริง ไม่ต้องไปห่วงเรื่องวิปัสสนาญาณ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าวันไหนจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะไกล โดยการที่ว่า ถ้าขณะนี้เราสามารถที่จะรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะ ที่เกิดแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นไม่ไกล แต่ถ้าไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ยังไกลอยู่ ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณแรกๆ ก็ยังไกล แต่ว่าไม่ไกลเท่ากับเวลาที่วิปัสสนาญาณยังไม่เกิด แล้วก็วิปัสสนาญาณ แต่ละญาณจะรู้ได้เลย ไม่ถึงด้วยความอยาก แต่ถึงด้วยการละ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจว่าเป็นไปเพื่อการละ คนนั้นจะไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจธรรมเลย เพราะเหตุว่าโลภะจะมาเรื่อยๆ แม้แต่ได้ยินชื่อของสัมมากัมมันตะ หรือสัมมาอาชีวะ ชื่อเป็นเจตสิก แต่ลักษณะของเจตสิก เวลาที่ทรงแสดงว่าเจตสิกแต่ละอย่างมีลักษณะต่างกันอย่างไร มีกิจต่างกันอย่างไร ก็เข้าใจได้ เทียบเคียงได้ แต่ไม่ใช่ขณะที่กำลังรู้ตรงลักษณะของเจตสิกนั้นๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ไม่ว่าจะเป็นผัสสะ ไม่ว่าจะเป็นเจตนาใดๆ ก็ตาม ไม่ใช่ให้เราเลือกหรือหวังรอ หรือคิด ไปนั่งคิดว่ามีลักษณะอย่างไร ก็ไม่ใช่จะรู้จริงได้เพียงการคิดถึงลักษณะของสัมมาอาชีวะ แต่ว่าขณะใดก็ตามที่สติปัฎฐานเกิดแล้วรู้ตรงลักษณะ จะรู้ได้เลย หนทางเดียว เพราะว่าสภาพธรรมกำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งสามารถประจักษ์ลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ขณะนั้นก็เป็นหนทางที่ถูก เพราะฉะนั้นก็ตัดปัญหาไปได้เลย เรื่องการที่จะไปรู้สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ วิตก วิจาร หรือเจตสิก ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าขณะนั้น สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมใด ก็เข้าใจลักษณะนั้นเพิ่มขึ้น แล้วไม่ต้องเลือกด้วย คอยจะไปรู้สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ก็เครื่องกั้นมาอีกแล้ว