ธรรมมีลักษณะเฉพาะอย่าง
ผู้ฟัง หลังจากที่ฟังอาจารย์แล้ว และก็คิดว่าสติต้องระลึกรู้ ตอนแรกหลงมีความอยาก อยากหายโกรธเร็วๆ แล้วก็ฟังอาจารย์มามาก แต่เมื่อได้ฟังก็ทำให้คิดว่าตัวเองไม่ต้องหวัง ไม่ต้องรอ แต่ต้องฟังมากๆ ฟังประจำ ทีนี้ยังข้องใจอยู่ว่า เมื่อสติระลึกรู้ สติสัมปชัญญะ อาจารย์บอกว่าแป๊บเดียวเท่านั้น แล้วก็หายไป แต่เมื่อเราระลึกนี้ ระลึกลักษณะของจิต เจตสิกใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ปรากฏให้ระลึก ในขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดที่เป็นสติปัฎฐาน ก็จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ต้องขีดขั้น มีสภาพธรรมใดปรากฏ ก็รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น สภาพธรรมที่กล่าวว่าเป็นธรรม มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง จึงจะกล่าวว่าเป็นธรรมแต่ละชนิดซึ่งไม่ใช่เรา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสภาพธรรมแต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ที่จะต้องเข้าถึงว่าเป็นธรรม เราได้ฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ว่าถ้ายังเป็นเรา เป็นคน เป็นสัตว์อยู่ ก็คือว่า แม้สติสัมปชัญญะระลึก ก็จะต้องมีปัญญาถึงความเป็นธรรมของลักษณะนั้น เช่น แข็งปรากฏ เปลี่ยนลักษณะแข็งไม่ได้ สติระลึกตรงลักษณะนั้นได้ ขณะนั้นเมื่อไหร่ที่รู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม คือเข้าถึงความเป็นธรรมของแข็ง
ผู้ฟัง ยากมากๆ
ท่านอาจารย์ ใครว่าง่าย ไม่มีใครว่าง่ายสักคน พระผู้มีพระภาคไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ใครที่ไม่ทรงน้อมพระทัยที่จะทรงแสดง เมื่อตรัสรู้สภาพธรรม ไม่ใช่คนธรรมดาเลย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงน้อมพระทัย
ผู้ฟัง พยายามทำความเข้าใจ แต่ยังรู้ว่ามีสติน้อย แต่มีความอยาก
ท่านอาจารย์ ก็จะต้องต่อสู้กับตัวอยาก ซึ่งอยากตลอด โดยที่มองไม่เห็นเลย และแต่ละครั้งที่คิดอื่น ไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่ระลึก นั่นคืออยาก ด้วยเหตุนี้จึงมีมิจฉามรรค ซึ่งก็คือโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับความเห็นผิดนั่นเอง จึงเป็นมิจฉามรรค
ผู้ฟัง เพราะได้เห็นโลภะของตัวเอง ขึ้นมาในบางขณะ แต่ก็ยังข้องใจเรื่องสัมมาอาชีวะ อาจารย์บอกว่าอย่าติด แต่ก็ยังสนใจอยู่
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีเห็น คิดถึงสัมมาอาชีวะ แล้วเมื่อไหร่จะรู้ลักษณะของเห็น ขณะนี้มีได้ยิน ก็ไปนึกถึงสัมมาอาชีวะ ก็ผ่านขณะที่จะรู้ลักษณะของได้ยินกับเสียง ขณะที่โกรธเกิดขึ้น ก็ไปนึกถึงสัมมาอาชีวะ และก็เมื่อไหร่จะรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม สภาพสมาธิปรากฏแล้วเกิดแล้วดับแล้วด้วย ไม่มีวันจะรู้เลย เพราะว่าขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมปรากฏ ปัญญาจะเจริญที่จะรู้ลักษณะนั้นจริงๆ ก็เพราะสติระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น ให้เห็นถูกว่าลักษณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงๆ แม้ไม่ต้องเรียกชื่อ ก็มีจริงๆ
ผู้ฟัง สิ่งที่มาปิดกั้น คือความคิดของเราเอง
ท่านอาจารย์ ความอยาก โลภะ ความต้องการ เพราะฉะนั้นเป็นสมุทัย ที่จะต้องละตามลำดับขั้น ว่า ละสมุทัยคือโลภะที่เกิดร่วมกับความเห็นผิดก่อน จึงจะเป็นพระโสดาบันได้ ไม่ใช่ไปละโลภะใน รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะ แต่ละโลภะที่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
ผู้ฟัง ว่าเป็นเรา เราต้องโกรธ พูดอย่างนี้ เราต้องโกรธ แล้วเราก็มีสติระลึกรู้ ระลึกได้ว่านั่นเป็นสภาพธรรม แต่ก็ยังเป็นเรา
ท่านอาจารย์ แล้วเห็นเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง ยังเป็นเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็คือต้องรู้จนกว่าจะเป็นธรรม
ผู้ฟัง กว่าจะระลึกได้ ก็ต้องนึกถึงที่คำพูดของอาจารย์หลายๆ ตอน หลายๆ บท พอแค่สงบลงได้ แต่ความอยากไม่ได้หายไป พอฟังอาจารย์พูดประโยคสุดท้าย ทำให้คิดได้ว่าตัวเองมีโลภะมากจริงๆ ยังอยากรู้เสียหมด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าอยากเกิด และสามารถรู้ว่าเป็นธรรมชนิดหนึ่ง นั่นคือถูกต้อง แต่ถ้าอยากเกิดแล้วทำตามอยากไปเลย ก็แสดงว่าอยากก็ชนะอยู่ต่อไป ก็ครอบงำได้ต่อไป แต่ไม่ใช่เรา เป็นความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ก็จะละการที่เคยเห็นผิดต่างๆ ถ้าศึกษาธรรมเพื่อละ ตรงตามพระพุทธประสงค์ที่ได้ทรงแสดงพระธรรมเพื่ออนุเคราะห์ ให้ทุกท่านที่ได้ฟังถึงภาวะ ที่ไม่มีโลภะ ถึงความเป็นพระอรหันต์