ตราบใดที่เป็นเรา ไม่เป็นปัญญา
ตราบใดที่ยังเป็นเรา ไม่ใช่ปัญญา ไม่รู้เหตุปัจจัย เพราะว่าสำหรับคนส่วนใหญ่จะคิดว่า ชีวิตตั้งต้นตอนเกิดแล้วก็จบสิ้นตอนตาย แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขณะจิตว่า แต่ละลักษณะไม่ใช่มีอยู่แล้ว แล้วก็คอยเหตุปัจจัยเกิด ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แม้แต่จิตได้ยิน ชั่วขณะที่โสตปสาทเกิดแล้วยังไม่ดับ แล้วก็มีการกระทบกับภวังคจิต แล้วจิตได้ยินก็มีปัจจัยเกิดขึ้น แสดงว่าจิตได้ยินไม่ได้ไปรอคอยอยู่ที่ไหน
เพราะฉะนั้นจิตทุกๆขณะเป็นธาตุแต่ละชนิด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัยเฉพาะธาตุนั้นๆ เท่านั้นเพราะฉะนั้นการไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของผู้ที่ประจักษ์ในสภาพความเป็นจริงธาตุ แล้วก็ความเป็นอายตนะ คือ เมื่อประชุมกันจึงเกิดขึ้น เหมือนไม้ขีดไฟซึ่งเราเอามาขีด พอประชุมกันเสร็จไฟก็เกิด ฉันใด จิตแต่ละขณะนี้ก็ฉันนั้น ไม่ใช่ว่ามีจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ คอยพอภวังคจิตเกิด จิตนี้ก็มาเห็น มาได้ยิน ไม่ใช่เลยคะชั่วขณะหนึ่งซึ่งอาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับจริงๆ
นี่คือการที่จะเห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมว่า ความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวตนถึงอย่างนี้ คือเป็นเพียงธาตุซึ่งอาศัยเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับ ความที่สืบต่อกันเร็วมาก แล้วไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ไม่เคยพิจารณา ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
เพราะฉะนั้นก็ยังหลงเหลือเหมือนกับว่าตัวตน ถึงจะไม่เที่ยงก็คงห่างหน่อย หรืออะไรอย่างนี้ แต่ความจริงแล้วสั้นแสนสั้น คือเพียงชั่วขณะจิตแต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ