เป็นจิต เจตสิก ไม่เป็นเรา


    พระพุทธเจ้าท่านต้องดำรงพระชนชีพไป ต้องบิณฑบาต ต้องอะไรทุกอย่าง แม้ว่าตรัสรู้แล้วเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ต่าง เพราะเหตุว่ายังมีนามธรรมมีรูปธรรมที่จะต้องบริหาร ที่จะต้องรักษา ที่จะต้องดำรงอยู่ตามเหตุตามปัจจัย ต่อเมื่อใดจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับ แล้วไม่เกิดอีก เมื่อนั้นไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ความจริงที่เขาคิดว่า เป็นเขาที่ทำ ก็เป็นจิตแต่ละชนิดที่ทำ ไม่ใช่เขา เป็นธรรมทั้งนั้น เป็นจิตกับเจตสิกต่างหากที่ทำ ขณะนี้ที่ว่าเป็นเห็น เป็นเราเห็น ก็คือจิตเจตสิกที่ทำกิจทางตา ขณะที่ได้ยินก็เป็นจิตเจตสิกที่เกิดขึ้นทำกิจได้ยินทางหู ไม่มีเราเลย แล้วเราจะสลับหน้าที่ของจิตก็ไม่ได้คือ ธรรมก็คือธรรมที่ตรง ซึ่งบังคับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เพราะความไม่รู้ก็ไม่รู้ไปหมด จนกระทั่งเป็นเราไปทั้งหมด บังคับบัญชาไม่ได้ และความเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นทำกิจการงานแต่ละชนิด แม้ความคิดก็เป็นจิตขณะหนึ่ง ความหิวก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เป็นทุกขเวทนา เป็นกายวิญญาณ คือให้มีความเข้าใจให้ถูกจริงๆ ว่า คนเรามีจิต ไม่ใช่มีแต่ร่างกาย แล้วจิตต่างจากร่างกาย เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพรู้ สภาพรู้ที่นี่หมายความว่ารู้สิ่งที่ปรากฏให้รู้ ไม่ใช่รู้อย่างปัญญา แต่เพียงรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาลักษณะหนึ่ง รู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏทางหูลักษณะหนึ่ง เป็นสภาพที่รู้เท่านั้นเอง ทั้งรูปธรรมนามธรรมก็มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็เปลี่ยนแปลงโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวเลย ขณะเมื่อกี้กับขณะเดี๋ยวนี้ก็ห่างกันแสนไกล ถ้าคนไม่รู้ก็เหมือนว่า ไม่มีอะไรดับเลย แต่ความจริงแม้แต่ขณะที่เสียงปรากฏ แค่นี้อย่างอื่นก็ปรากฏไม่ได้

    นี่ก็แสดงความเป็นสภาพธรรมล้วนๆทีละอย่าง แต่ว่ามีสภาพธรรมที่ต้องเกิด เพราะมีเหตุปัจจัยก็ต้องเกิด


    หมายเลข 4013
    26 ส.ค. 2558