นามสูตร


    ท่านที่ยังมีความยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ติดในชื่อของท่านแค่ไหน ทราบไหม ติดชื่อหรือเปล่า

    เพียงชื่อก็ยังติดตั้งแค่นี้ คิดดู เลือกชื่อนี่เลือกนานไหม กว่าจะตั้งชื่อได้แต่ละชื่อ เวลาที่มีญาติซึ่งเป็นที่รักเกิด และจะต้องหาชื่อ แม้แต่ชื่อก็ยังต้องเลือกนาน ติดแค่ไหนในชื่อนั้น เพราะฉะนั้น ชื่อเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ โดยที่ท่านอาจจะไม่รู้ว่าท่านติด แม้ในชื่อ จะกล่าวอะไรถึงขันธ์ คือ สิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเห็น ซึ่งได้ยิน ซึ่งได้กลิ่น ซึ่งลิ้มรส ซึ่งกระทบสัมผัส จะไม่ติดยิ่งกว่าชื่อหรือ

    สังยุตตนิกาย สคาถวรรค อันธวรรคที่ ๗ นามสูตรที่ ๑ ข้อ ๑๗๘ข้อ ๑๗๙ มีข้อความว่า

    เทวดาทูลถามว่า

    อะไรหนอครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าสิ่งอะไรย่อมไม่มี สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร

    คนอื่นจะตอบถูกไหม ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

    ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งขึ้นไปกว่าชื่อไม่มี สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือชื่อ ฯ

    จบ นามสูตรที่ ๑

    สั้น แต่ก็จริง เพราะแต่ละท่านสำคัญในชื่อของท่านจริงๆ บางท่านอาจจะบอกว่าชื่อไม่สำคัญ นามสกุลสำคัญไหม นามสกุลเป็นชื่อหรือเปล่า ก็ยังคงเป็นแต่ชื่อ และสำคัญมากจริงๆ สำหรับท่านที่ยังติดอยู่แม้ในชื่อ

    ลองคิดดู ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง จริงเพียงไร แม้แต่เวลาที่ท่านฟังเรื่อง สติปัฏฐาน ท่านติดในชื่อ นาม ติดในชื่อ รูป หรือเปล่า

    เห็นเป็นสภาพธรรมที่มีจริง กำลังกระทำกิจเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ก็ไม่เข้าใจเลยว่า สภาพธรรมที่กำลังกระทำกิจเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรก็ได้ เพราะเป็นลักษณะของปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้นกระทำกิจเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ท่านก็ติดชื่อ นามธรรม ที่เห็นนี้เป็นนามธรรม ยังต้องใส่ชื่อ คล้ายๆ กับว่า ถ้าไม่ใส่ชื่อว่านามธรรม ท่านจะไม่เข้าใจ

    แต่ที่จริงแล้วชื่อปิดบังลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า แม้ไม่ต้องใช้คำว่านามธรรม แต่ก็หมายความถึงสภาพธรรมที่กำลังเห็น คือ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำว่านามธรรมก็เพื่อที่จะให้เข้าใจอรรถ คือ ลักษณะของสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เพราะความหมายของคำว่านาม ก็คือ สภาพที่น้อมไปสู่อารมณ์ สภาพที่รู้อารมณ์ เมื่อเป็นนามธรรมที่เกิด ที่จะไม่รู้อารมณ์นั้นไม่มี เช่น ในขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตากำลังปรากฏ กำลังถูกรู้ เพราะฉะนั้น ก็มีสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ คือ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ซึ่งสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ที่ปรากฏทางตา พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติคำเพื่อที่จะให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมนั้นโดยใช้คำว่านาม หมายความถึงสภาพที่น้อมไปสู่อารมณ์ เสียงกำลังปรากฏ ทรงใช้คำว่าอารัมมณะ หมายความถึงสิ่งที่กำลังถูกรู้

    เพราะฉะนั้น นามธรรม คือ สภาพที่น้อมไปสู่เสียงที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ที่กำลังได้ยิน เสียงไม่ใช่ได้ยิน เสียงเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏกับสภาพธรรมที่น้อมไปสู่ลักษณะของเสียง คือ รู้เสียงที่กำลังปรากฏ

    แต่ถ้าใครติดชื่อ ต้องนึก ต้องท่อง ต้องกล่าวว่า ได้ยินเป็นนาม หรือว่าได้ยินเป็นนามธรรม ในขณะนั้นไม่ใช่การพิจารณาที่จะน้อมไปสู่ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน เพราะเป็นเพียงสภาพรู้ที่กำลังรู้เสียง หรือว่าเป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา หรือว่าขณะที่ร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดปรากฏลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ขณะนั้นมีสภาพธรรมที่น้อมไปสู่ คือ กำลังรู้ลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แม้จะไม่ใช้คำว่านาม หรือนามธรรม สภาพธรรมนั้นก็มีจริง และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ายังติดในชื่ออยู่ ก็ยากที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    การศึกษาธรรม การอบรมเจริญปัญญา จึงต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด และต้องเข้าใจลักษณะของการติดว่า มีการติดที่นอกจากในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในการคิดนึก ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจแล้ว ก็ยังมีการติดแม้ในชื่อ


    หมายเลข 4021
    19 ก.ย. 2566