กุศลทุกประการควรเจริญ
ผู้ฟัง การมนสิการเกี่ยวกับเรื่องปฏิกูล ถึงเรื่องของสิ่งสกปรก จากที่ฟังบรรยายมีการกล่าวบอกว่า บางครั้งสติอาจระลึกที่ส่วนใดของร่างกายโดยความเป็นปฏิกูลก่อน จึงรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ คือกล่าวอย่างนี้ในตอนแรกเหมือนเป็นแค่เรื่องราวของความชอบหรือไม่ชอบในสิ่งสกปรก แต่หลังจากนั้นแล้วที่บอกว่า จึงรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏนั้นอาจจะเป็นอะไรได้บ้าง
อ.ประเชิญ การอบรมกรรมฐานในสมัยก่อน ที่ภิกษุท่านอบรมเจริญ ท่านก็มีทั้งสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา เพราะฉะนั้นในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านจึงกล่าวรวมไปถึงเรื่องของปฏิกูลมนสิการบรรพด้วย ซึ่งตามปกติกุศลทุกประการของผู้ที่เห็นประโยชน์ ท่านก็เจริญทุกอย่าง เหมือนกับพวกเราที่เริ่มศึกษาธรรม เริ่มเข้าใจธรรมแล้ว ทานที่เคยไม่ให้เลยก็เริ่มที่จะให้ขึ้น ให้มากขึ้น ให้ง่ายขึ้น ศีลที่เคยกระพร่องกระแพร่ง ไม่ค่อยสำรวมกายวาจาก็เริ่มที่จะสำรวมมากขึ้น เห็นประโยชน์มากขึ้น สมถภาวนาที่เป็นเรื่องของการอบรมความสงบในชีวิตประจำวัน เมตตาก็ดี มรณสติก็ดี พุทธานุสติก็ดี ก็อบรมมากขึ้น เพิ่มขึ้น ชีวิตของภิกษุก็เช่นเดียวกัน ที่ท่านสำรวมในพระปาฏิโมกข์สำรวมในอินทรีย์ ที่เป็นอินทรียสังวรศีลก็ดี อบรมสมถภาวนา ท่านก็อบรม และท่านก็เจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวันควบคู่กันไปกับกุศลทุกประการ
ฉะนั้นในขณะที่ท่านอบรมที่เป็นสมถภาวนาในชีวิตประจำวันของท่าน สภาพธรรมก็สลับอยู่แล้ว สำหรับกุศลที่เป็นไปในกามาวจรก็เป็นชั่วขณะๆ พิจารณาถึงสิ่งที่เป็นปฏิกูลทางอาการ ๓๒ ของร่างกาย บางครั้งมีสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมปรากฏทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติก็เกิดระลึกรู้ในตรงนั้น สลับกับสมถกรรมฐานได้ ฉะนั้นในเรื่องที่จะมีการเจริญสลับกันระหว่างที่สติเกิดขึ้น จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปเลือกอย่างนั้น แต่เนื่องจากว่าท่านให้อบรมกุศลทุกประการ และสตินั้นก็เป็นไปในสมถะบ้าง เป็นไปในวิปัสสนา ตามกำลังของสติปัญญา สติที่เป็นไปในสติปัฏฐานระลึกรู้ตรงนั้นก็พร้อมทั้งสัมปชัญญะเกิดขึ้น สภาพธรรมปรากฏ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เกิดตลอด สติที่เป็นไปในเรื่องของสมถภาวนาก็เกิดสลับ นั่นก็คือสลับไปสลับมา