สติระลึกไปในปรมัตถธรรม
ธรรมมี แต่ไม่ระลึก เพราะเหตุว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่า นี่คือธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน แต่เมื่อฟังแล้ว เข้าใจแล้ว กว่าจะไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ก็เพราะเหตุว่าสติระลึกที่แต่ละลักษณะ ซึ่งเกิดแล้วดับ เพราะฉะนั้นจะไม่มีการคิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะเหตุว่ากำลังมีสภาพธรรมใดปรากฏ สติระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรม
สติเกิดแทรกคั่นได้นะคะ หมายความว่ามีสภาพธรรมปรากฏแล้วแทนที่จะเป็นโมหะ แทนที่จะเป็นโลภะ สติเกิดระลึกตรงลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ทุกคนตอบได้ แต่ไม่รู้ในความไม่ใช่ตัวตน อย่างแข็งก็เป็นปรมัตถธรรม ทุกคนก็ตอบได้ แต่ไม่รู้แข็งไม่ใช่ตัวตน เวลาเห็นทุกคนก็บอกได้ว่ากำลังเห็นแต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้นก็เป็นปรมัตถธรรมตลอด ไม่มีเลยซึ่งจะไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่ว่าถ้าไม่ฟังพระธรรมแล้วก็ไม่เข้าใจ ก็ไม่มีการที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นปรมัตถธรรมที่กำลังเกิดดับ ก็เป็นแต่ฟังเรื่องของปรมัตถธรรมมาเรื่อยๆ แต่ตัวจริงเวลานี้ปรมัตถธรรมกำลังทำกิจการงานแต่ละอย่าง อย่างจิตที่เห็นก็กำลังทำกิจเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เอง
นี่คือประโยชน์ที่เราจะพูดเรื่องของสติปัฏฐาน ปรมัตถธรรม เพราะเหตุว่ามีธรรมปรากฏ และขณะที่ฟังนี้เอง ถ้ามีความเข้าใจที่ถูก สติก็ระลึกทันทีเป็นปกติ แต่ข้อสำคัญที่สุดก็คือว่าความสงสัย เพราะว่าสติเกิดน้อยมาก สั้นมาก นิดเดียวแล้วดับ จริงๆ ต้องเป็นอย่างนั้น จะมีสติเกิดสืบต่อกันตลอดเวลาสำหรับผู้ที่อบรมเจริญมาก และแม้กระนั้นก็ไม่ตลอดเวลาไม่ได้ ไม่มีทางจะเป็นไปได้เลย