รู้ชัดสภาพธรรมเพียงเท่านี้ก็บรรลุ
ผู้ฟัง ที่บอกว่ารู้ชัดในลักษณะที่ปรากฏ จะเป็นลักษณะของการไหวก็ได้ ได้ยินก็ได้ อย่างนี้หรือ
อ.ประเชิญ ใช่ เพราะสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตาก็รูปารมณ์เป็นสี ทางหูเป็นเสียง ทางจมูกเป็นกลิ่น ทางลิ้นเป็นรส โผฏฐัพพะทางกายก็คือที่เป็นมหาภูตรูป ๓ แล้วทางใจก็มีคิดนึกตลอด
ผู้ฟัง เคยฟังพระสูตร ที่กล่าวว่าพระอริยะบางรูปนี้ท่านรู้ธรรม ทำกับข้าวอยู่ในครัวแล้วก็บอกท่านก็บรรลุ การบรรลุก็จะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรม อาจจะเป็นกลิ่น หรืออาจจะเป็นร้อนหรือเย็น หรืออย่างไรที่จะเป็นพระอริยะ
อ.ประเชิญ ก็แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้คือสัจจะความจริง ที่เราได้สนทนาในครั้งก่อน ที่ว่าเป็นสัจจะเป็นสิ่งที่มีจริง และก็พิสูจน์ได้ ฉะนั้นเรื่องของกาลของการบรรลุ บางท่านก็อยู่ที่ในครัว บางท่านก็ล้างเท้า อย่างนางปัจตาจาลา ตามประวัติที่ท่านล้างเท้าราดไปครั้งแรก ตรงนั้นพื้นที่เป็นทรายน้ำก็ซึมไปเร็ว แล้วก็ราดครั้งที่สองก็ไหลไปนิด ท่านก็ได้พิจารณาถึงมรณสติ พูดถึงความไม่แน่ของชีวิต ก็ทำให้ท่านได้พิจารณาสภาพธรรม เจริญวิปัสสนาเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นคือเรื่องการบรรลุของแต่ละท่านก็อยู่ที่อัธยาศัย และความพร้อมของบารมีของท่าน บางท่านก็กำลังปลงผม หลายท่านมากที่เป็นพระเถระเพิ่งเป็นสามเณร บรรลุขณะที่ปลงผมเสร็จ ก็น่าสงสัยว่าปลงผมเสร็จเป็นพระอรหันต์เลย บรรลุได้อย่างไร ท่านพระอานนท์ ท่านเพียรพยายามหลังจากที่พระผู้มีพระภาคฯปรินิพพานแล้ว แล้วท่านก็ได้รับการเตือนจากพระเถระทั้งหลาย ท่านก็เพียรพยายามแต่ก็ไม่บรรลุ แต่พอจะพักผ่อนก็บรรลุ เพราะฉะนั้นอยู่ที่สติ และสัมปชัญญะ ที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏตรงนั้น ความพร้อมของปัญญาบารมีจะพร้อมตรงไหนก็บังคับไม่ได้ ก็ทำให้การบรรลุของแต่ละท่านมีความแตกต่างกัน ระหว่างสถานที่ก็ดี เรื่องของกาล เรื่องของเวลา อะไรทั้งหลายก็ต้องแตกต่างกันอย่างนั้น