ปฏิสนธิจิตอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง
การที่จะศึกษาหรือว่าฟังธรรม ก็เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ถ้าได้ยินคำไหนแล้ว ก็คงจะต้องให้เข้าใจขึ้นๆ ไม่ใช่ว่าผ่านไป เพราะว่าจากการที่ฟังเบื้องต้น แล้วก็จะได้ฟังต่อไป ก็คือเรื่องนั่นแหละ แต่ก็เข้าใจขึ้น อย่างปฏิสนธิจิต เป็นจิตขณะแรก เรารู้แล้วทุกคนว่า เวลาที่จิตเกิดขณะแรกสืบต่อจากชาติก่อน แต่จิตนี้ต้องมีปัจจัย เพราะเหตุว่าสภาพธรรมทุกอย่างที่จะเกิดจะปราศจากปัจจัยไม่ได้เลย จำไว้ได้เลยว่าทุกอย่างที่เกิดต้องอาศัยปัจจัยจึงได้เกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นเราก็จะมาดูว่าปฏิสนธิจิตอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยเดียว เพียงจิตหนึ่งขณะที่เกิดแล้วก็ดับไปอย่างเร็วมาก ใครก็ยับยั้งไม่ได้ แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นเกิดหลายปัจจัย แต่ถึงเวลาดับ ดับหมดเลย จิตขณะนั้นดับ เกิดมาแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นก็คิดถึง ปฏิสนธิจิต ซึ่งมีปัจจัยหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งคือกัมมปัจจัย
เราก็ได้ยินคำว่ากรรมบ่อยมาก มีใครบ้างไหมที่ไม่เคยได้ยินคำว่ากรรม คงไม่มี กรรมหมายความถึงการกระทำ โดยทั่วไปเราก็ใช้คำนี้ กรรมคือการกระทำ แต่ว่าการกระทำที่เป็นกัมมปัจจัย ต้องหมายความถึงเจตนาที่จงใจ ตั้งใจ ที่จะกระทำกรรม ซึ่งเจตนาหรือความจงใจ ตั้งใจ เกิดกับจิตทุกดวง เพราะฉะนั้นสภาพของเจตนาที่เกิดกับจิตแต่ละดวงก็ต้องต่างกัน เจตนาที่เกิดกับกุศลจิต ก็ต้องต่างกับเจตนาที่เกิดกับอกุศลจิต ซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากจิต ซึ่งก็ต้องมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้นเจตนาเจตสิกที่เกิดกับวิบากจิต ก็ต้องต่างกับเจตนาที่เกิดกับกุศลจิต และอกุศลจิต และก็มีเจตนาที่เกิดกับกิริยาจิต ซึ่งก็ต้องต่างกับเจตนาที่เกิดกับกุศลจิต อกุศลจิต และวิบากจิต
นี่คือความละเอียดของชีวิตประจำวัน ทุกคนไม่ว่าจะเกิดภพไหนภูมิไหนก็จะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสำหรับ ปฏิสนธิจิต มีกรรมเป็นปัจจัย ได้แก่ เจตนาที่เกิดกับกุศลจิต และอกุศลจิต แต่ก็ต้องถึงความจงใจ ตั้งใจ ที่จะเป็นกุศลที่จะทำให้สำเร็จ หรือว่าเป็นอกุศล ที่จะกระทำอกุศลกรรมให้สำเร็จ ก็จะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น
ใครทราบบ้างว่าเราทำกรรมมามากน้อยแค่ไหน มากมายเลยใช่ไหม ถ้านับดูถอยหลังไปแสนโกฏิกัป กรรมเหล่านั้น ถ้าพร้อมด้วยองค์ ๕ คือสำเร็จ ก็จะทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดได้ ในวันหนึ่งวันใด ซึ่งเราก็ทราบไม่ได้ ที่ชาติต่อไปของเราก็จะต้องมีปฏิสนธิจิต สืบต่อจากจุติจิตของชาตินี้ อาจจะเป็นกรรมที่ได้กระทำในชาตินี้ กุศลกรรมขณะที่ฟังพระธรรม หรือว่าเข้าใจธรรม หรือว่าในเรื่องของทาน ในเรื่องของศีล หรืออกุศลกรรมก็ได้ ซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะว่าชีวิตของเราสั้นมาก ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะถึงการสิ้นสุดของชาตินี้เมื่อไหร่ อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่ประมาทเลย ในการที่เมื่อมีโอกาสของกุศลกรรม ก็สะสมกุศลกรรม เพื่อจะเป็นปัจจัยทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ซึ่งอาจจะเป็นกรรมในชาตินี้ หรือกรรมในชาติก่อนๆ ก็ได้ เห็นกำลังของกรรมไหม ว่าสามารถที่จะทำให้เกิดบนสวรรค์ก็ได้ ในโลกมนุษย์ก็ได้ มีสภาพลักษณะต่างๆ กันไปก็ได้ โดยที่ว่าไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราสามารถที่จะเห็นความเป็นอนัตตา เมื่อเข้าใจลักษณะของปัจจัยของสภาพธรรม ซึ่งก็ได้แก่ จิต เจตสิก รูปนั่นเอง จิต เป็นกรรมหรือเปล่า ถ้ากล่าวโดยเจาะจง กรรม ต้องได้แก่ เจตนาเจตสิก เท่านั้น