ทำไมต้องเป็นผ้าเช็ดธุลี
ผู้ฟัง เมื่อตอนต้นอาจารย์พูดถึงผ้าเช็ดธุลี ดิฉันคิดว่า มีบางท่านยังไม่เข้าใจคำนี้
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า ผ้าขี้ริ้ว เข้าใจไหมคะ
ผู้ฟัง และขอความกรุณาให้ท่านอาจารย์เล่าว่า ทำไมถึงให้ประพฤติตนดุจผ้าเช็ดธุลี และได้ผลประโยชน์อย่างไร และอีกเรื่องหนึ่งพอมองในลักษณะที่ว่า ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลีแล้ว เท่าที่เคยได้รับคำสั่งสอนมาว่า เราต้องลดมานะ ทำให้นึกถึงคำว่า มานะ ขอให้อาจารย์ชี้แจงคำว่า มานะด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์ คือเป็นเรื่องของภาษาไทยกับภาษาบาลีที่ปนกันมาตลอด และเราก็ใช้ในความหมายของภาษาไทย มานะเป็นสิ่งที่ดี เป็นความอดทน เป็นวิริยะ เป็นสิ่งที่ควรมี แต่ในภาษาบาลี ลักษณะของมานะเป็นความทะนงตน สำคัญตน หรือใช้คำว่า เย่อหยิ่ง ลำพองก็ได้ มานะละเอียดมาก ผู้ที่จะดับมานะหรือละมานะได้ต้องเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นเพียงพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังละมานะไม่ได้
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า มานะต้องละเอียดมากจริงๆ และเราก็เห็นแต่มานะใหญ่ๆ หมายความว่า คนนั้นเป็นคนหยิ่ง เป็นคนทะนงตน หรือเวลาเกิดสำคัญตัวขึ้นมา ขณะนั้นเราไม่เคยรู้จักหน้าตาของสภาพธรรมนี้เลยว่า นี่คือมานะ แต่ก็คงจะเกิดกับหลายเหตุการณ์ ถ้าสมมติว่า เราไปที่แห่งหนึ่งแล้วไม่มีคนมาต้อนรับเราเลย ทั้งๆ ที่เขาก็ควรมาต้อนรับเรา ไปเอาใจใส่เราเลย นั่งคอยอาหารมาบริการเลย โต๊ะอื่นเขาก็ได้รับประทานหมดแล้ว เราจะรู้สึกว่า เขาไม่เห็นความสำคัญของเราเลย บางคนก็อาจจะคิดอย่างนั้น แล้วมีกิริยาอาการผิดปกติขึ้นมา หมายความว่าไม่มีความมั่นคงที่จะเป็นผ้าเช็ดธุลี แต่ว่าเกิดรู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด และมีกิริยาอาการของมานะแสดงออกมา
นี่แสดงให้เห็นว่า ก่อนนี้เราไม่เคยสังเกตตัวนี้เลย แต่เวลานี้ให้ทราบว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เราลำบากใจ สำคัญตน และเดือดร้อนเวลาที่มีมานะเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น คำนี้ก็เป็นศัพท์ภาษาธรรม ซึ่งต่างกับในภาษาไทย และสำหรับเรื่องผ้าเช็ดธุลีหรือผ้าขี้ริ้วก็เป็นผ้าที่ไม่มีราคา หมายความว่าคนอื่นจะเหยียบจะย่ำอย่างไรก็ได้ เมื่อเราไม่มีความสำคัญตน แต่ถ้าเรามีความสำคัญตนแล้ว สำคัญไปหมดทุกอย่าง ชื่อเรียกไม่ถูกก็ไม่ได้ ต้องเรียกให้ถูก มีคนหนึ่งที่เขาบริจาคเงิน และผู้ประกาศประกาศไม่ถูก ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่บริจาคอีกเลย เพราะประกาศฃื่อเขาไม่ถูก นี่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เพียงชื่อก็มีความสำคัญถึงขนาดนั้น
นี่แสดงให้เห็นว่า เราติดอะไรบ้าง ติดเสียง แล้วก็ติดชื่อ แล้วก็คิดว่า ชื่อนั้นมีความสำคัญมากมาย แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงชื่อ ความสำคัญควรเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ถ้าเป็นอกุศลจิตแล้วไม่ดี ไม่ว่าจะอยู่กับใคร จะเป็นท่านผู้หญิง จะเป็นเจ้าคุณ หรือเป็นใครก็ตาม อกุศลก็เป็นอกุศล ถ้าเป็นกุศล ไม่ว่าจะเกิดกับเด็กเล็กผู้ใหญ่อย่างไร สภาพที่ดีงามก็ยังคงเป็นสภาพที่ดีงาม ซึ่งทุกคนก็ต้องชอบชื่นชมสภาพที่ดีงามนั้น
เพราะฉะนั้น ลักษณะของผ้าเช็ดธุลีนั้นหมายความว่า ในความรู้สึกของเราเอง เราไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร ดีกว่าที่เราจะคิดว่า เราเป็นคนสำคัญไหม คือขอให้เปรียบเทียบ เริ่มพิจารณาว่า อะไรดี ถ้าเรามีความสำคัญในตัวซึ่งไม่มีอะไร ท่านอุปมาเหมือนกับลูกโป่ง ลอยขึ้นไปสูงมาก ข้างในไม่มีอะไรเลย นี่คือความมานะ สำคัญตน ให้เราเป็นอะไรก็ได้ เรียกชื่ออะไรก็ได้ เราก็พลอยลอยขึ้นไปตามชื่อซึ่งตั้งตามคำที่เรียก แต่ไม่มีอะไรเลย ขันธ์ทุกขันธ์เกิดแล้วก็ดับไป เราเมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้อยู่ตรงนี้ เมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน ตัวเราที่เราคิดว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อกี้นี้ไม่มีแล้ว มีตัวนี้ มีนามนี้ ซึ่งเกิดดับเร็วมากทุกขณะ
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วเป็นแต่เพียงชื่อที่เรียกให้เข้าใจกัน จะเรียกอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าเราหมดความสำคัญในตัวเราที่ทำให้เราทะนงตน เราจะมีความสบาย ใครจะเรียกเราอย่างนั้นก็ได้ ไม่เรียกเราอย่างนั้นเราก็เป็นตัวเรา ไม่เห็นเดือดร้อน เรียกผิดก็ผิด เรียกถูกก็ถูก ทำไมต้องมีความสำคัญขนาดนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลีก็คือ เราไม่มีความสำคัญในตนหรือความทะนงตนว่า เราต้องเป็นอย่างนั้น หรือเราต้องเป็นอย่างนี้ เพราะจริงๆ แล้วสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เมื่อกี้นี้ทุกคนได้ยินเสียง ขณะนี้ก็กำลังได้ยินทีละคำผ่านไปๆ เสียงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเก็บห่อเอาไว้เป็นของเรา หรือได้ยินเมื่อกี้นี้ก็หมดไปจริงๆ เราอยู่ที่ไหน ถ้ามีความรู้สึกสุขสักนิดหนึ่งก็หมดอีกแล้ว ถ้าอาหารจะอร่อยมาก ประเดี๋ยวเดียวก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรจะคงอยู่ได้แน่นอนเลย
เพราะฉะนั้น ของเราจริงๆ ให้ดูมาว่า ตั้งแต่เกิด มีอะไรเป็นของเราจริงๆ บ้าง ความสนุกสนานตั้งแต่เด็กสนุกมาก เหลือแต่ความจำ ซึ่งความจำ ถ้าไม่นึกถึงเรื่องนั้นก็ไม่มีเลยในความจำของเรา ทุกวันก็ผ่านไป หมดไป
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ก็เพียงชั่วขณะที่เกิดแล้วก็หมด เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นความจริงอย่างนี้จริงๆ แล้ว เราจะมีความสำคัญในขันธ์ไหน ในรูปขันธ์ ก็เกิดแล้วดับไป ในเวทนาขันธ์ ก็เกิดแล้วรู้สึกแล้วก็ดับไป ในสัญญา ความจำ ถ้าเราไม่จำเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็ไม่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ก็หมดไป ตอนที่เรื่องนั้นเกิดขึ้น เราก็รู้สึกว่าสำคัญเหลือเกิน แต่พอไม่นึกถือ หายไปได้อย่างไร ไม่เห็นเดือดร้อน เพียงไม่คิดถึงเท่านั้นก็หมดความสำคัญไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงชั่วขณะจิตที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกทีละขณะๆ และตราบใดที่ยังอยู่ เราก็ยังยึดถือว่าเป็นเรา เป็นใครก็ตามแต่ จากโลกนี้ไปแล้วก็จะเป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้ จะต้องเป็นคนใหม่ เพราะเกิดใหม่ทันที
เพราะฉะนั้น ความเป็นผ้าเช็ดธุลีก็คือไม่เดือดร้อน และไม่มีความสำคัญที่จะคิดเบียดเบียน หรือไปคิดไปโกรธไปเกลียดชังใคร ซึ่งมีการกระทำที่ไม่ถูกใจหรือไม่ดีต่อเราก็ได้ คือไม่ว่าจะทำอะไร เราก็สามารถมีจิตใจที่สม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหว ไม่เดือดร้อน นั่นคือความหมายของผ้าเช็ดธุลี ซึ่งผู้ประกาศตนว่าท่านเป็นเหมือนผ้าเช็ดธุลี เดาได้ไหมคะว่า ใคร ถ้ายังไม่ฟังพระธรรม จะนึกไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ประกาศว่า ท่านเป็นเหมือนผ้าเช็ดธุลีก็คือพระอัครสาวก ท่านพระสารีบุตร ซึ่งเป็นผู้เลิศทางปัญญา นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครจะมีปัญญาเท่าท่านพระสารีบุตร ปัญญาของท่านพระสารีบุตรมากทีเดียว เป็นอัครสาวก แต่เทียบกับพระผู้มีพระภาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วย่อมไม่ได้แน่นอน บารมีที่บำเพ็ญมาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระสารีบุตรนั้นก็ห่างไกลกัน สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ซึ่งเป็นผู้ยิ่งด้วยปัญญาทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป ท่านพระสารีบุตรบำเพ็ญพระบารมี ๑ อสงไขยแสนกัป แต่ว่าท่านเป็นผู้ประกาศบันลือสีหนาทว่า ท่านเป็นผ้าเช็ดธุลี แล้วเราล่ะคะ ไม่มีปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตร แล้วเราก็ไม่อยากเป็นผ้าเช็ดธุลี แต่ถ้าเรามีปัญญาจริงๆ เราก็อยากเป็นผ้าเช็ดธุลีแน่ๆ คือสบาย ไม่หวั่นไหว ใครจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา แล้วเราก็มีจิตสม่ำเสมอหรือเป็นมิตรกับเขาได้ ไม่มีศัตรูเลย ถ้าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร ต่อให้คนนั้นเป็นศัตรูกับเรา เราก็ยังคงไม่มีศัตรูอยู่นั่นเอง เราไม่เป็นศัตรูกับเขา