อุทิศทานกุศลให้ใครในภพไหน
ผู้ฟัง การทำบุญให้ทานกับผู้มีชีวิต ในศาสนาพุทธที่มีการทำบุญให้ทานแล้วกรวดน้ำถือว่าเป็นการให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือจิตวิญญาณอีกมิติหนึ่ง ที่ต่างไปจาความเป็นจริงมนุษย์ที่เป็นอยู่ อยากจะเรียนถามว่า ในที่นี้อาจารย์เชื่อไหมว่า สิ่งนี้มีจริง และเมื่อเราให้ไปแล้ว เขาจะรับได้ไหม
ท่านอาจารย์ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้เป็นเรื่องของเหตุผล แม้ว่าเราไม่สามารถเห็นด้วยตาของเราได้ เช่น นรก สวรรค์ ไม่มีใครเห็น เพราะเราอยู่ในโลกมนุษย์ เราก็มีตาเห็นในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่เราจะพิจารณาได้ว่า ระหว่างที่เราอยู่ในโลกมนุษย์ เรามีกรรมคือการกระทำที่ดีบ้าง ที่ไม่ดีบ้าง เพราะฉะนั้น ผลของการกระทำต้องมี เมื่อการกระทำที่เป็นเหตุมี ผลก็ต้องมี ถ้าเป็นผลของกรรมดี หลังจากตายแล้วต้องเกิดแน่ๆ ผู้ที่ไม่เกิดก็คือพระอรหันต์ ถ้าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่แล้วต้องเกิด พราะชาติสุดท้ายที่พระผู้มีพระภาคประสูติก็มีกิเลส เพราะยังไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อตรัสรู้
เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังต้องเกิด แต่ภพภูมิที่เกิด ไม่ใช่มีแต่โลกนี้โลกเดียว ต้องเป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้น ภพภูมิแบ่งเป็นสุคติภูมิ ภูมิที่ดี กับทุคติภูมิ ภูมิที่ไม่ดี ถ้าเป็นสุคติภูมิก็เป็นผลของกุศล ถ้าเป็นทุคติภูมิก็เป็นผลของอกุศล
สำหรับทุคติภูมิมี ๔ ภูมิ เป็นประเภทของภูมิใหญ่ๆ ได้แก่ นรก ๑ เปรต ๑ อสุรกาย ๑ ดิรัจฉาน ๑ สำหรับสัตว์เดรัจฉาน เรามองเห็นเพราะในโลกนี้มี แสดงว่าสัตว์ต้องมีจิตใจ เพราะว่ามีโลภะ มีโทสะ มีเห็น มีได้ยิน ไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า เพราะฉะนั้น สัตว์ก็ต้องเกิดจากกรรม แต่การเป็นสัตว์เป็นผลของอกุศลกรรม เพราะเหตุว่าไม่สามารถอบรมเจริญปัญญาได้ เราจะพูดจะคุยอย่างไร เราก็ยังพิจารณาในเหตุผลได้ แต่เราจะไปนั่งสอนสัตว์ในเหตุในผล เขาก็ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น นั่นเป็นผลของอกุศลกรรมในชาติที่เป็นสัตว์ ไม่สามารถเจริญกุศล หรือปรับสภาพของจิตจนกระทั่งพัฒนาเป็นกุศลได้ทุกประการเหมือนอย่างมนุษย์
สำหรับนรก ต้องเป็นสิ่งที่มีแน่ เพราะเหตุว่าเป็นภูมิที่ได้รับการทรมานอย่างมาก ซึ่งแม้แต่ในโลกมนุษย์ เราก็มองเห็น อย่างไฟไหม้แล้วคนตายอยู่ในนั้นสัก ๒๐๐ คน และถ้าในภูมินั้นเป็นผลของอกุศลกรรมนานกว่านั้น คือการที่เราถูกไฟ เราก็เคย กระทะร้อนๆ น้ำมันร้อนๆ เราก็เคยถูกนิดถูกหน่อย แต่ว่าถ้าเป็นผลของกรรมที่จะให้ผลนานกว่านั้น อาจเป็นชั่วโมงหนึ่ง ๒ ชั่วโมง หรือถ้านานกว่านั้นเป็น ๑๐ เดือน ๑๐ ปี ย่อมเป็นไปได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเกิดในมนุษย์ เราก็ไม่เห็นนรก แต่ถ้าเกิดในนรก เราก็ไม่สงสัยเลยว่า ภูมินี้เป็นอย่างนี้จริงๆ หรือว่าถูกทรมานต่างๆ ถ้าไปตลาด คงเห็นเขาแล่ปลา ทุบหัว ยังมีได้ในโลกนี้เอง แต่เป็นนรกของปลาเสียแล้ว เพราะต้องไปอยู่บนเขียงแล้วถูกแล่ ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำให้ต้องได้รับผลอย่างนั้น ไม่เลือก ไม่ใช่เป็นแต่เฉพาะปลา บางคนปอกมะม่วงแล้วฝานเนื้อไปเลย ไม่มีใครทำให้ แต่เมื่อกรรมจะให้ผล สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นเป็นไปได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นผลของกรรมที่ทำให้ได้รับความเจ็บปวด ขณะนั้นเราต้องทราบว่า ถ้าไม่กระทำสิ่งนี้มา สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดกับเรา ทำไมบางคนมีร่างกายแข็งแรง แต่บางคนก็ป่วยไข้ต่างๆ บางคนก็หาย บางคนก็หายเร็ว ก็เป็นไปตามกรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าเหตุคืออกุศลมีมากๆ ฆ่าสัตว์ ชีวิตทำอะไร เมื่อการกระทำอย่างนี้มี แล้วผลของการกระทำก็เห็นอยู่แม้แต่ในโลก เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งให้ผลมากกว่านี้ นานกว่านี้ ก็ย่อมมี เป็นไปได้ นั่นคือภูมินรก
สำหรับภูมิเปรต ก็เป็นภูมิที่หิวกระหายมาก เต็มไปด้วยโลภะ ทำทุจริตกรรมมากเหลือเกิน ทรงแสดงไว้ว่า ทุจริตกรรมที่จะให้ผลเป็นเปรต ก็เกี่ยวกับโลภะ โกงกินต่างๆ แล้วสำหรับสัตว์เดรัจฉาน นรก เปรต อสุรกายก็เป็นภูมิอีกภูมิหนึ่งที่ไม่มีความรื่นเริงเท่ากับภูมิมนุษย์ ที่เราเรียกว่า ผี แล้วเขาก็จะมาปรากฏให้บางคนเห็นในบางโอกาส ไม่ใช่ทั่วไป แต่จะเห็นได้ว่า ภูมินั้นไม่มีโรงหนัง ไม่มีโรงละคร ไม่มีดิสโก้ หลายอย่างๆ ที่ในภูมิมนุษย์ของเราเพียบพร้อม แต่ภูมิมนุษย์ของเราก็เป็นสุคติภูมิที่พ้นจากอบายภูมิ และยังมีกุศลที่ประณีตมากกว่านั้นที่ทำให้เกิดในสวรรค์ ประณีตขึ้นๆ อีกตามกำลังของกุศล
เพราะฉะนั้น เวลาที่คนตาย เราไม่สามารถรู้ได้ว่า เขาเกิดที่ไหน จึงมีการทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ตายแล้ว ซึ่งเขาสามารถอนุโมทนาได้ อนุโมทนาหมายถึงยินดีด้วยในกุศลที่เราทำ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ระหว่างที่ยังเป็นมนุษย์ ถ้าเราเห็นใครทำกุศล เรายินดีไหมว่า เขาใจดี ให้ทาน ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก คนป่วยเจ็บ ไปดูแลรักษา คิดถึงอกเขาอกเรา พูดจาก็ทำให้คนนั้นสบายใจ ทั้งกาย ทั้งวาจา ใครทำอย่างนี้เราก็ยินดีกับเขาด้วยที่เขามีกุศลจิตอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราตายไป และญาติพี่น้องก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เราก็เกิดจิตอนุโมทนายินดีที่คนนั้นมีจิตกุศลระลึกถึงญาติมิตรแล้วทำบุญกรวดน้ำไปให้ ถ้าคนนั้นเกิดกุศลจิตอนุโมทนา เขาได้ผลของกุศลจิตของเขาที่เขาอนุโมทนา แต่ถ้าเขาไม่อนุโมทนา กุศลจิตไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรทำให้ผลเกิดขึ้นได้ เพราะผลทั้งหลายก็คือจิตประเภทหนึ่งซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นเหตุทำให้ได้รับผลนั้น
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ภพภูมิที่เกิดมีต่างกัน และภูมิที่เขาสามารถรู้ และอนุโมทนาได้ เขาก็อนุโมทนา แต่ให้รู้ว่า เขาก็เหมือนเรา ถ้าเป็นมนุษย์แล้วเราไม่อนุโมทนา คนที่ตายไปก็ไม่แน่เสมอไปว่า เขาจะอนุโมทนาในกุศลที่เราทำ แต่เราเป็นคนที่อนุโมทนาเสมอในผลที่คนอื่นทำ พอเราได้ยินว่า ใครทำกุศล เราก็อนุโมทนา ถึงเราไปเกิดที่ไหน เราก็อนุโมทนา ก็เป็นกุศลจิตของเรา ไม่ใช่แบบไปรษณีย์ที่ส่งของไปให้ ต้องเป็นกุศลของคนนั้นเอง