ทำทานด้วยความหวังหรือไม่
ผู้ฟัง หนูคิดว่า หนูทำทานให้คนตาบอด อาจจะทำให้ชาติหน้ามีสายตาปกติ ไม่ทราบว่า เป็นอกุศลจิตหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ต้องแยกกัน ต้องรู้ว่า ที่เราให้เขา เราหวังอะไรหรือเปล่า เวลาให้ หวังอะไรหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เชิงหวัง เพียงแต่คิดว่า เราอาจจะสายตาดีได้บ้าง
ท่านอาจารย์ คิดหลังให้ ก่อนให้ หรือคิดกำลังให้
ผู้ฟัง คิดก่อนให้
ท่านอาจารย์ คิดก่อนให้ เป็นเหตุที่ให้ ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ ก็คิดก่อน เพราะฉะนั้น ถามว่า คิดอย่างนี้ก่อนให้ หรือกำลังให้ หรือหลังจากให้แล้ว
ผู้ฟัง คิดก่อนให้ แต่ไม่ได้หวังว่าจะเกิดจริงๆ เป็นแต่การคาดคะเน เหมือนกับเป็นสิ่งที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้
ท่านอาจารย์ แล้วหวังบ้างไหม
ผู้ฟัง ไม่ได้หวัง เพียงแต่คิด
ท่านอาจารย์ คิดเฉยๆ แต่ไม่หวัง
ผู้ฟัง ค่ะ
ท่านอาจารย์ เข้าใจความคิดไหมว่า เพียงคิด คิดด้วยโลภะ ไม่ต้องอะไรเลย พรุ่งนี้วันศุกร์ คิดแค่นี้ จิตอะไรคิด เพราะว่าจิตใจแบ่งออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ กุศลกับอกุศล จิตที่เป็นกุศล เป็นจิตที่ดีงาม คิดไปในเรื่องทาน ในเรื่องศีล ในเรื่องการช่วยเหลือคนอื่น ในเรื่องการทำตนให้เป็นประโยชน์ ในเรื่องการอบรมเจริญปัญญา ขณะนั้นเป็นกุศลจิต แต่นอกจากนั้นแล้วเป็นอกุศล คือจิตด้วยโลภะ หรือคิดด้วยโทสะ คิดด้วยความติดข้อง ถ้าไม่มีเรื่องในใจสักเรื่องหนึ่ง เราคงไม่คิดว่า พรุ่งนี้วันศุกร์ หรือว่าถ้าคิดว่า บางลำพู ก็คงต้องมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เราต้องคิด บางลำพู จะไปซื้อของ หรือมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับคำนั้น มิฉะนั้นคำนั้นก็คงไม่เกิด หรือไม่มีจิตคิดถึงคำนั้น ให้ทราบว่า แม้ความคิดของทุกคนไม่มีใครบังคับ ความคิดเกิดขึ้นแล้วถึงรู้ว่า ขณะนั้นคิดเรื่องนี้ ใช่ไหมคะ แต่มีสภาพมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ความคิดเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ขณะที่คิดในแต่ละวัน ที่ไม่เป็นไปในเรื่องทาน ศีล การเจริญกุศลแล้ว ถ้าจิตใจไม่ขุ่นมัว ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิตที่คิด เป็นจิตที่ติดข้องจึงคิดเรื่องนั้น เวลาดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือพิมพ์ คิดหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง คิด
ท่านอาจารย์ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ที่ไม่คิดนั้นไม่มีเลย เวลาที่ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ดูโทรทัศน์ คิดหรือเปล่า ก็คิดอีก
เพราะฉะนั้น ความคิดของเราวันหนึ่งๆ เป็นอกุศลมาก ที่กล่าวว่า ไม่หวัง ลองคิดดูว่า เพียงคิดว่า พรุ่งนี้วันศุกร์ก็ยังคิดด้วยโลภมูลจิต จิตที่ติดข้อง เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า คิดแล้วไม่หวัง เป็นจิตอะไรที่คิด ก็ต้องเป็นโลภะ เป็นความหวัง
เพราะฉะนั้น โลภะแนบเนียนมาก เราใช้เขาชื่อเดียวว่า โลภะ ความโลภ ความต้องการ ความติดข้อง แต่ลักษณะอาการของโลภะมีมากมาย เช่น คำว่า “อาสา” ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของโลภะ ภาษาบาลีหมายความถึงความหวัง เย็นนี้หวังอะไรบ้าง เพียงแต่จะรับประทานอะไร เห็นไหมว่า เป็นโลภะแล้ว หวังจะรับประทานสิ่งนั้น สิ่งที่กำลังคิดอยู่
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ลักษณะของโลภะมีมากจนกระทั่งเราไม่รู้จัก เพราะเขาอยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด ก่อนจะหลับ จิตเป็นอะไรคะ พรุ่งนี้จะทำอะไร ก็ไม่พ้นจากโลภะอีก หลับไปกับโลภะ คือเรื่องที่คิดด้วยความติดข้องในเรื่องนั้น
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า จิตเป็นอกุศล มีอกุศลที่ต่างกัน ที่สังเกตได้ คือ ถ้าใจสบาย ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต ถ้าใจไม่สบาย ขุ่นเคืองกังวลนิดหน่อย ขณะนั้นเป็นอกุศลอีกประเภทหนึ่ง คือเป็นโทสมูลจิต เป็นจิตที่ประกอบด้วยโทสะ ความโกรธ
เพราะฉะนั้น ยากที่จะพ้น ที่จะกล่าวว่าไม่หวัง ถ้าคิดจริงๆ แล้วก็เป็นความติดข้อง ซึ่งเราไม่รู้เองว่า ขณะนั้นเป็นความหวังชนิดหนึ่ง