พิสูจน์โลภะด้วยสติสัมปชัญญะที่เป็นสติปัฏฐาน


    เพราะเหตุว่าท่านผู้ฟังจะพิสูจน์ธรรมด้วยสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานลักษณะของโลภะ เป็นสภาพที่ติด แต่ว่าไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมคะ ท่านอาจจะรู้ตัวว่า ติดสิ่งของบางอย่าง แล้วแต่อัธยาศัย บางคนอาจจะติดชา ติดกาแฟ เป็นสภาพที่ละไม่ได้ ติดแล้ว นั่นเป็นลักษณะของโลภะ เวลาที่โลภเจตสิกเกิดนี้ จะห้ามไม่ให้จิตในขณะนั้นติด ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

    นี่คืออนัตตา ซึ่งสติจะต้องระลึกรู้ จะรู้ลักษณะของความติด หรือความต้องการ หรือความเพลิดเพลิน หรือความยินดี ซึ่งมีโลภะเป็นเหตุ ถ้าลักษณะของเห-ตุปัจจัยนี้ คือโลภะเกิดขึ้นแล้ว จิตต้องเป็นอย่างนั้น ใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะของโลภมูลจิตซึ่งต้องเกิด เพราะเหตุว่าโลภเจตสิกเป็นเหตุเกิดขึ้น ทำให้จิตในขณะนั้นต้องเป็นสภาพที่ติด เป็นสภาพที่ต้องการ รวมทั้งเจตสิกอื่นทั้งหมดที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้นก็มีโลภะนั้นเป็นเหตุ

    ขณะที่กำลังเห็นทั่ว ๆ ไปที่สติปัฏฐานไม่เกิด ไม่รู้สึกว่าติดในสิ่งที่เห็นใช่ไหมคะ ดูเป็นธรรมดาก็เห็นอยู่เป็นประจำทุกวัน ๆ แต่ทำอย่างไรจึงจะสังเกต และพอที่จะรู้ได้ว่าติดแล้วตั้งแต่เกิด เมื่อลืมตาก็ติด เพราะเหตุว่าเมื่อมีการเห็นก็ติดในสิ่งที่เห็น และติดในการเห็น ที่จะรู้ได้ว่าติด ก็ต่อเมื่อเริ่มจะคลายจึงจะรู้ได้ว่า ก่อนนั้นเคยติด เพราะเหตุว่าลักษณะของการติด ไม่รู้ จนกว่าจะรู้ว่ามีการค่อย ๆ ระลึกแล้วรู้ แล้วก็ละความไม่รู้ แล้วจึงจะค่อย ๆ คลายการติด ทั้ง ๆ ที่ติดอยู่ทุกขณะนี้ แต่ไม่รู้สึก เช่นในขณะที่เห็น ถ้าสติไม่เกิด ไม่ได้ระลึกรู้ว่า เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งจะไม่มีการคลายเลย เมื่อไม่มีการคลาย จึงรู้ว่าติดเสียแล้ว และติดมานานแล้ว แล้วก็ติดอยู่เรื่อย ๆ เพราะเหตุใด ?เพราะเหตุว่ายังไม่คลายยังไม่มีความรู้สึกที่จะคลาย เพราะความรู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตานั้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งคนตาบอดไม่เห็น ถ้ากล่าวโดยกว้าง ๆ ทั่ว ๆ ไปก็อาจจะยังไม่เป็นตัวอย่างที่สติจะระลึกได้ แต่ถ้าในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร แล้วสติเกิด อาจจะเป็นขั้นพิจารณาก็ได้ว่า ข้าวสีนี้ กับในจานแต่ละจานนี้ แต่ละสี ไม่ว่าจะเป็นแกงเผ็ดหรือแกงจืด หรือผักนานาชนิด อาหารนานาชนิด คนตาบอดไม่มีโอกาสเห็นเลยแม้แต่สีของข้าว คนตาบอดสามารถจะกระทบสัมผัสข้าว สามารถที่จะลิ้มรสของข้าว แต่ไม่สามารถที่จะเห็นสีของข้าว

    เพราะฉะนั้นในขณะนั้นถ้ามีการระลึกได้ ขณะนั้นจะรู้ว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏทางตา ซึ่งคนตาบอดไม่มีโอกาสที่จะเห็น เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มรู้จริงๆ นอกจากขณะที่กำลังรับประทานอาหาร ยังขณะอื่นๆ อีกทุกขณะที่สติสามารถจะระลึกได้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่อ่อนไม่ใช่แข็ง ต้องแยกออกโดยเด็ดขาด จึงจะปรากฏสภาพธรรมแท้จริงว่า สภาพธรรมแต่ละอย่าง ทางตาไม่ใช่ทางหู ไม่ใช่ทางจมูก ไม่ใช่ทางลิ้น ไม่ใช่ทางกาย ไม่ใช่ทางใจ

    ทุกท่านก็คงจะเคยกราบนมัสการพระพุทธรูป ระลึกถึงพระพุทธคุณเป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งสติก็อาจจะเกิดระลึกได้อีกว่า คนตาบอดสามารถจะเช็ดถูทำความสะอาด แต่ไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ในขณะนั้นแต่ละขณะที่เริ่มระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ทางตา ละความไม่รู้ จึงจะถึงการคลายได้ในวันหนึ่งว่า การที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงจะทำให้ไม่ติดในสิ่งซึ่งติดแล้ว และติดมานานแล้ว และติดอยู่ทุกขณะ ที่สติไม่ได้ระลึกทางตา หรือทางหู หรือทางจมูกหรือทางลิ้น หรือทางกายหรือทางใจ

    เพราะฉะนั้นจะซาบซึ้งในลักษณะของโลภะไหมว่า เมื่อโลภเจตสิกซึ่งเป็นเหตุเกิด ที่จะไม่ให้จิตเป็นโลภะ เป็นไปไม่ได้


    หมายเลข 4360
    28 ส.ค. 2558