รัฐปาลเถรคาถา
ในพระไตรปิฎกมีข้อความที่จะให้เกิดความสลด หรือเห็นความเป็นปฏิกูลของส่วนต่างๆ ของร่างกายนี้มากทีเดียว ซึ่งถ้าท่านได้ฟังคาถาของท่านพระเถระในครั้งอดีตที่ท่านได้กล่าวไว้ก็จะทำให้ระลึกได้ และดูเหมือนกับว่า ท่านพระเถระนั้นได้กล่าวกับท่านโดยตรงทีเดียว เพราะเหตุว่า ไม่ว่าท่านจะกล่าวกับผู้ใดในครั้งโน้น ก็เป็นการแสดงถึงความคิด แสดงถึงปัญญาของท่านที่รู้ชัดในลักษณะของนามรูปทั้งปวงตามความเป็นจริง
ขุททกนิกาย เถรคาถา รัฐปาลเถรคาถา มีข้อความว่า
เชิญดูอัตภาพอันธรรมดาตกแต่งให้วิจิตร มีกายเป็นแผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อน ยกขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย
ขอให้พิจารณาอรรถด้วย ที่ท่านกล่าวว่า เชิญดูอัตภาพอันธรรมดาตกแต่งให้วิจิตร มีกายเป็นแผล อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นแล้ว กระสับกระส่าย
กายที่ประกอบด้วยกระดูก ๓๐๐ ท่อน นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง กระสับกระส่ายยิ่งนักทุกขณะเพราะโลภะบ้าง เพราะโทสะบ้าง เพราะโมหะบ้าง
คนพาลพากันดำริหวังมาก อันไม่มีความยั่งยืน ตั้งมั่น
ความหวังนี้มากจริงๆ อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะเป็นอย่างนี้ อยากจะทำอย่างโน้น เมื่อมีกายที่แสนจะปฏิกูล แล้วก็ยังเป็นผู้ที่ไม่เห็นตามความเป็นจริง พวกคนพาลพากันดำริแล้วก็หวังเป็นไปต่างๆ ในกายนี้ ท่านกล่าวต่อไปว่า
เชิญดูรูปอันปัจจัยกระทำให้วิจิตร ด้วยแก้วมณี และกุณฑล
เพราะเหตุว่าถูกแก้วมณีบ้าง กุณฑลบ้าง เครื่องประดับต่างๆ ปกปิดบังไว้ เป็นเครื่องที่จรมาปกปิดความเป็นปฏิกูลของร่างกาย แต่ท่านกล่าวว่า
เชิญดูรูปอันปัจจัยกระทำให้วิจิตร ด้วยแก้วมณี และกุณฑล หุ้มด้วยหนัง มีร่างกระดูกอยู่ภายใน งามพร้อมไปด้วยผ้าต่างๆ มีเท้าทั้งสองอันฉาบทาด้วยครั่งสด
การประดับตกแต่งร่างกายที่ปฏิกูลมีทุกกาลสมัย แต่แม้กระนั้นพระอริยเจ้าทั้งหลายก็ยังสามารถเห็นธรรมตามความเป็นจริง คือ สัจธรรมของร่างกายที่แม้ว่าจะถูกประดับตกแต่งด้วยเครื่องตกแต่งต่างๆ ท่านกล่าวว่า
มีเท้าทั้งสองอันฉาบทาด้วยครั่งสด มีหน้าอันไล้ทาด้วยฝุ่น สามารถจะทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่สามารถทำให้ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลง
พวกที่ยังเพลิดเพลินยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นผู้ที่ยังอยู่ฝั่งนี้ ยังไม่ข้ามไปถึงฝั่งโน้น คือ ฝั่งที่ละความยินดี เพลิดเพลินในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ละความเห็นผิด ความยึดมั่นในตัวตน ท่านกล่าวต่อไปว่า
ผมทั้งหลายอันบุคคลตกแต่งเป็นลอน คล้ายกระดานหมากรุก นัยน์ตาทั้งสองอันหยอดด้วยยาตา สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่สามารถทำให้ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลง กายอันเปื่อยเน่าอันบุคคลตกแต่งแล้วเหมือนกล่องยาตาใหม่ๆ วิจิตรด้วยลวดลายต่างๆ สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่สามารถทำให้ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลงได้
เวลาดูลวดลายต่างๆ ที่กล่องใส่ของนั้นเพลิดเพลินดี ก็เหมือนกับร่างกายนี้เหมือนกัน เป็นกายที่เปื่อยเน่าที่บุคคลตกแต่งแล้ว ก็เหมือนกับกล่องยาตาใหม่ๆ วิจิตรด้วยลวดลายต่างๆ สามารถทำให้คนพาลลุ่มหลงได้ แต่ไม่สามารถทำให้ผู้แสวงหาฝั่งโน้นลุ่มหลง
นายพรานเนื้อดักบ่วงไว้ แต่เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อนายพรานเนื้อคร่ำครวญอยู่ พวกเนื้อพากันมากินเหยื่อแล้วหนีไป บ่วงของนายพรานขาดไปแล้ว เนื้อไม่ติดบ่วง เมื่อนายพรานเศร้าโศกอยู่ พวกเนื้อพากันมากินเหยื่อแล้วหนีไป ท่านกล่าวว่า เราเห็นหมู่มนุษย์ที่มีทรัพย์ในโลกนี้ ได้ทรัพย์แล้วไม่ให้ทาน เพราะความลุ่มหลง ได้ทรัพย์แล้วทำการสะสมไว้ และปรารถนาอยากได้ยิ่งขึ้นไป พระราชากดขี่ช่วงชิงเอาแผ่นดิน ครอบครองแผ่นดินอันมีสาครเป็นที่สุด ตลอดฝั่งสมุทรข้างนี้แล้ว ไม่รู้จักอิ่ม ยังปรารถนาครอบครองฝั่งสมุทรข้างโน้นอีกต่อไป
พระราชาก็ดี มนุษย์เหล่าอื่นเป็นอันมากก็ดี ผู้ยังไม่ปราศจากตัณหา ย่อมเข้าถึงความตาย ยังไม่เต็มความประสงค์ก็พากันละทิ้งร่างกายไป ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายย่อมไม่มีในโลกเลย
ทำไมกล่าวถึงพระราชา เพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นพระราชาที่ครอบครองแผ่นดิน อันมีสาครเป็นที่สุดตลอดฝั่งสมุทร แล้วก็ยังไม่อิ่ม ไม่ว่าจะเป็นใคร ถึงแม้ว่าจะมีทรัพย์สมบัติมากมายสักเท่าไร แต่ถ้าไม่รู้สัจธรรมตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่สามารถละกิเลสได้ ยังเป็นผู้ที่มีความปรารถนาเต็มที่
พระราชาก็ดี มนุษย์เหล่าอื่นเป็นอันมากก็ดี ผู้ยังไม่ปราศจากตัณหาย่อมเข้าถึงความตาย เพราะเหตุว่าจะต้องมีการเกิดอยู่เรื่อยๆ เมื่อยังมีการเกิดอยู่ ก็ต้องมีความตายเป็นของธรรมดา ยังไม่เต็มความประสงค์ก็พากันละทิ้งร่างกายไป
ไม่มีใครทราบใช่ไหมว่า พรุ่งนี้จะอยู่ที่ไหน ยังคงเป็นโลกนี้หรือว่าโลกอื่นก็ไม่ทราบ แต่ทั้งๆ อย่างนั้น ความประสงค์ก็ไม่เคยเต็ม ไม่เคยอิ่ม ไม่เคยพอ ทั้งๆ ที่รู้ว่า จะต้องจากโลกนี้ไปเมื่อไรก็ไม่ทราบ
ความอิ่มด้วยกามทั้งหลายย่อมไม่มีในโลก หมู่ญาติพากันสยายผม ร้องไห้คร่ำครวญถึงผู้นั้น และรำพันว่าทำอย่างไรหนอพวกญาติของเราจึงจะไม่ตาย ครั้นพวกญาติตายแล้วก็เอาผ้าห่อ นำไปเผาเสียที่เชิงตะกอน ผู้ที่ตายไปนั้นถูกเขาแทงด้วยหลาวเผาด้วยไฟ ละโภคะทั้งหลาย มีแต่ผ้าผืนเดียวติดตัวไป คือ ผ้าที่ใช้ห่อศพ
เมื่อบุคคลจะตาย ย่อมไม่มีญาติ หรือมิตรสหายช่วยต้านทานได้ พวกที่รับมรดกก็มาขนเอาทรัพย์ของผู้ที่ตายนั้นไป ส่วนสัตว์ที่ตายย่อมไปตามยถากรรม เมื่อตายไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรๆ คือ พวกบุตร ภรรยา ทรัพย์ แว่นแคว้นสิ่งใดๆ จะติดตามไปไม่ได้เลย
บุคคลจะได้อายุยืนเพราะทรัพย์ก็หาไม่
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนั้นแลว่า เป็นของน้อย ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ทั้งคนมั่งมี และคนยากจน ย่อมถูกต้องผัสสะเหมือนกัน
คนมั่งมีหรือว่าคนยากจนก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ต้องรับกระทบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ไม่มีความต่างกันเลย
ทั้งคนพาล และคนฉลาดก็ต้องถูกผัสสะเหมือนกันทั้งนั้น แต่คนพาลถูกอารมณ์ที่ไม่พอใจเบียดเบียน ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เพราะความเป็นคนพาล
ส่วนนักปราชญ์อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว เพราะฉะนั้นแล ปัญญาจึงจัดว่าประเสริฐกว่าทรัพย์ เพราะปัญญาเป็นเหตุให้บรรลุนิพพาน แต่คนพาลไม่ปรารถนาจะบรรลุ
แต่ละคนที่ฟังเป็นประเภทไหน ถ้าไม่ปรารถนาที่จะบรรลุก็เป็นประเภทคนพาล
แต่คนพาลไม่ปรารถนาจะบรรลุ พากันทำกรรมชั่วต่างๆ อยู่ในภพน้อยภพใหญ่เพราะความหลง ผู้ใดทำกรรมชั่วแล้ว ผู้นั้นจะต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ในวัฏฏะสงสารร่ำไป บุคคลผู้มีปัญญาน้อย เมื่อมาเชื่อต่อการทำของบุคคลผู้ที่กระทำกรรมชั่วนั้น ก็จะต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ร่ำไปเหมือนกัน
โจรผู้มีธรรมอันชั่วช้า ถูกเขาจับได้พร้อมทั้งของกลาง ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน ฉันใด หมู่สัตว์ผู้มีธรรมอันชั่วช้า ละไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตน ฉันนั้น
กามทั้งหลายอันงามวิจิตร มีรสอร่อยน่ารื่นรมย์ใจ ย่อมย่ำยีจิตด้วยรูปแปลกๆ ดูกร มหาบพิตร เพราะอาตมาภาพได้เห็นโทษในกามคุณทั้งหลายจึงออกบวช สัตว์ทั้งหลาย ทั้งหนุ่ม ทั้งแก่ ย่อมตกไปเพราะร่างกายแตก เหมือนผลไม้หล่น ฉันนั้น
ดูกร มหาบพิตร อาตมภาพเห็นความไม่เที่ยง แม้ข้อนี้ จึงออกบวช
ท่านกล่าวต่อไปว่า
ความเป็นสมณะอันไม่ผิดนั้นแล ประเสริฐ
ที่ว่า ความเป็นสมณะอันไม่ผิด เพราะเหตุว่าสมณะแปลว่าผู้สงบ ผู้ที่ออกบวชเป็นสมณะนั้นก็มีมากมาย แต่ความเป็นสมณะอันไม่ผิดนั้นแล ประเสริฐ
อาตมาภาพออกบวชด้วยศรัทธา เข้าถึงการปฏิบัติชอบในศาสนาของพระชินเจ้า บรรพชาของอาตมาภาพไม่มีโทษ อาตมาภาพไม่เป็นหนี้บริโภคโภชนะ อาตมาภาพเห็นกามทั้งหลายโดยความเป็นของอันไฟติดทั่วแล้ว เห็นทองทั้งหลายโดยเป็นศาสตรา เห็นทุกข์จำเดิมแต่ก้าวลงในครรภ์ เห็นภัยใหญ่ในนรก จึงออกบวช
ถ้าพูดถึงนรก เวลานี้คงไม่ค่อยกลัวเพราะว่ายังไม่ถึง แต่พรุ่งนี้จะไปอยู่ที่ไหน ทราบไหม ก็ไม่มีใครทราบอีกเหมือนกัน วันหนึ่งก็อาจจะต้องไปก็ได้ แต่ว่าผู้ที่เห็นภัยใหญ่ในนรกอย่างท่านพระรัฐปาละ ท่านก็กล่าวว่า เห็นภัยใหญ่ในนรกจึงออกบวช
อาตมาภาพเห็นโทษอย่างนี้แล้ว ได้ความสังเวชในกาลนั้น ในกาลนั้น อาตมาภาพเป็นผู้ถูกลูกศร คือ ราคะเป็นต้นแทงแล้ว บัดนี้บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว พระศาสดาอันอาตมาภาพคุ้นเคยแล้ว คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอาตมาภาพทำสำเร็จแล้ว อาตมาภาพได้ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นแล้ว บรรลุถึงประโยชน์ที่กุลบุตรออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว บรรลุถึงความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว