สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
มีอีกข้อความหนึ่งที่ใคร่จะให้ท่านผู้ฟังได้ฟังโดยตรงจากพระไตรปิฎก เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของชีวิตในครั้งอดีต ให้ท่านได้ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในครั้งกระโน้น
ขุททกนิกาย เถรีคาถา ติงสนิบาต สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา ข้อ ๔๗๒ มีข้อความที่ท่านพระสุภาเถรีกล่าวคาถาตอบนักเลงเจ้าชู้ที่ยืนกั้นทาง ในขณะที่พระสุภาภิกษุณีกำลังเดินไปสู่สวนอัมพวัน อันเป็นสถานที่รื่นรมย์ของหมอชีวกโกมารภัท เมื่อนักเลงเจ้าชู้รำพันเรื่องความสุข ความสำราญต่างๆ ของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่มีสาระ แต่เป็นข้อความที่ไพเราะ และยาวมาก จะขอกล่าวถึงบางตอนที่เป็นสาระที่ท่านพระสุภาเถรีได้กล่าวกับนักเลงผู้นั้น
เมื่อนักเลงนั้นประกาศความประสงค์ของตนอย่างนั้นแล้ว พระเถรีเมื่อจะประกาศความที่สรีระเป็นสภาพที่เต็มด้วยอสุภะต่างๆ จึงได้กล่าวตอบว่า
ก็เป็นเรื่องของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรื่องของปฏิกูลนั่นเอง
ในร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยอสุภะ อันจักทอดทิ้งไว้ในป่าช้า มีอันแตกทำลายไปเป็นธรรมดานี้ อะไรเล่าที่ท่านเข้าใจว่าเป็นแก่นสาร ท่านเห็นสิ่งใดแล้วมีความพอใจในสิ่งนั้น ขอจงบอกแก่เรา
ท่านพระเถรีอยากจะทราบว่า จิตใจของผู้นั้นคิดอย่างไร ยึดมั่นในสิ่งใด นักเลงนั้นก็กล่าวตอบมีข้อความว่า
นัยน์ตาทั้งสองของพระสุภาเถรี เหมือนนัยน์ตาลูกเนื้อ และเหมือนนัยน์ตานางกินรีที่เที่ยวไปภายในภูเขา ความรักเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า เพราะเห็นดวงตาทั้งคู่ เพราะเห็นหน้าซึ่งเปรียบปานดังดอกบัวปราศจากมลทิน งามดังแผ่นทองคำ
ถึงแม้ว่านักเลงนั้นจะไปไกลสักเท่าไร ก็จะไม่นึกถึงอะไรเลยนอกจากดวงตาทั้งคู่ที่บริสุทธิ์ ทั้งยาวทั้งกว้างของพระสุภาเถรีเท่านั้น สิ่งอื่นที่จะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าดวงตาของพระสุภาเถรีนั้นไม่มีเลย
พระสุภาเถรีตอบว่า
ท่านปรารถนาเราผู้เป็นธิดาของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าปรารถนาจะดำเนินไปโดยทางผิด ชื่อว่าแสวงหาดวงจันทร์มาเป็นของเล่น ปรารถนาจะโดดขึ้นภูเขาสิเนรุ บัดนี้ ความกำหนัดในอารมณ์ใด อารมณ์นั้นไม่มีแก่เราในโลกพร้อมทั้งเทวโลก เราทราบว่า สภาพอันน่ารื่นรมย์แม้ทุกชนิดไม่มีแก่เรา และเรากำจัดเสียได้แล้วพร้อมทั้งรากด้วยมรรคญาณ สภาพอันน่ารื่นรมย์เป็นเหมือนถูกทิ้งไปในหลุมถ่านเพลิง เหมือนถูกดื่มยาพิษ เราทำให้พินาศแล้วแต่ยอด เราเห็นว่าสภาพอันน่ารื่นรมย์แม้ทุกชนิดมิได้มีแก่เรา และเรากำจัดเสียแล้วพร้อมทั้งรากด้วยมรรคญาณ เบญจขันธ์นี้อันหญิงใดไม่พิจารณาแล้ว ท่านจงเล้าโลมหญิงเช่นนั้น ท่านมาเล้าโลมเราผู้รู้ตามเป็นจริงนี้ ย่อมจะลำบากเปล่า เพราะว่าสติของเรามั่นคงดีแล้วในการด่า การไหว้ และในสุขทุกข์
ท่านจงรู้ว่า ธรรมอันเป็นปัจจัยปรุงแต่งเป็นของไม่งาม ใจของเราไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งปวงเลย เราเป็นสาวิกาของพระสุคตเจ้า เป็นผู้ดำเนินไปสู่นิพพานด้วยญาณ กล่าวคือ อัฏฐังคิกมรรค มีลูกศรอันถอนขึ้นได้แล้ว ไม่มีอาสวะ ยินดีอยู่ในเรือนว่างเปล่า ก็รูปภาพทำด้วยใบลาน หรือท่อนไม้ ที่บุคคลทำให้งดงาม ผูกด้วยเชือก หรือเอาไม้ตอกตะปูติดไว้โดยอาการต่างๆ ทำให้เหมือนกับจะฟ้อนรำได้ เราเคยได้เห็นมาแล้ว เมื่อแก้เชือก และถอนตะปูออกจากรูปนั้น และแยกออกจากกันแล้ว โดยทำให้เป็นแผนกๆ เรียงรายไว้ เมื่อทำรูปนั้นโดยเป็นชิ้นๆ อย่างนี้ ไม่พึงได้ชื่อว่ารูป
นี่ก็แยกกายออกเป็นส่วนๆ
เมื่อเป็นอย่างนั้น บุคคลพึงตั้งความสำคัญใจไว้ในรูปนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร ร่างกายนี้ก็เหมือนกับรูปไม้ฉะนั้น เว้นจากธรรมมีธาตุ ๔ เป็นต้นแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ บุคคลพึงตั้งความสำคัญใจไว้ในร่างกายนั้น จะเป็นประโยชน์อะไร เหมือนบุคคลได้เห็นรูปภาพอันนายช่างผู้ฉลาดวาดเขียนไว้ที่ฝาด้วยหรดาลฉะนั้น
ปัญญาสำหรับมนุษย์ของท่านหาประโยชน์มิได้ เพราะท่านมีความเห็นวิปริต ในร่างกายนั้น แน่ะท่านผู้บอด ท่านเข้าไปยึดถืออัตภาพอันว่างเปล่า เป็นเหมือนพยับแดดที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า และเหมือนดังต้นไม้ทองที่ปรากฏในความฝัน
จะฝันอย่างไรก็ฝันได้ ฝันให้มีต้นไม้ ดอกไม้จริงๆ ที่เป็นทองทั้งนั้น ก็คงจะฝันได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครยังคงยึดถือรูปร่างกายซึ่งวิปริตหรือปฏิกูล เป็นของว่างเปล่า เหมือนพยับแดดที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า เหมือนดังต้นไม้ทองที่ปรากฏในความฝัน
เป็นดังเช่นรูปยนต์ที่คนเล่นกลแสดงแล้ว ในท่ามกลางแห่งชน
จะแสดงอย่างไรก็ได้ทุกอย่าง ดูเหมือนกับว่าของจริง แต่ว่าความจริงแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นจริง ทุกวันๆ นี้ก็เป็นนาม และรูปแต่ละชนิดประชุมรวมกัน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วทุกๆ ขณะทีเดียว จะย้อนกลับไปหารูปเก่าเพียงเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ได้แล้ว ก็เป็นของที่เสื่อมไปสิ้นไป
เป็นดังเช่นรูปยนต์ที่คนเล่นกลแสดงแล้ว ในท่ามกลางแห่งชน ดวงตาเป็นดังฟองน้ำ ปรากฏเหมือนโพรงไม้ มีฟองน้ำตั้งอยู่กลางตา เป็นของมีขี้ตา และน้ำตา เกิดเป็นต่อมดำๆ มีสีต่างๆ กัน
พระสุภาเถรีผู้มีดวงตางาม มีใจไม่ข้องอยู่ในอารมณ์ไหนๆ ได้ควักดวงตาออกจากเบ้าตา แล้วส่งให้นักเลงนั้น พร้อมกับกล่าวว่า เชิญท่านเอาดวงตานั้นไปเถิด เราให้ดวงตานั้นแก่ท่าน
เมื่อสักครู่นี้สวยเหลือเกิน อย่างกับตาของนางกินรี แต่พอออกจากตามาอยู่ที่ฝ่ามือ ปฏิกูลไหม แต่ท่านพระเถรีก็ใคร่ที่จะให้บุคคลผู้นั้นได้ประจักษ์ความเป็นปฏิกูล สภาพที่แท้จริงของร่างกาย ท่านก็ควักดวงตาออกจากเบ้าตา แล้วส่งให้นักเลงนั้น
พระสุภาเถรีผู้มีดวงตางาม มีใจไม่ข้องอยู่ในอารมณ์ไหนๆ ได้ควักดวงตาออกจากเบ้าตา แล้วส่งให้นักเลงนั้น พร้อมกับกล่าวว่า เชิญท่านเอาดวงตานั้นไปเถิด เราให้ดวงตานั้นแก่ท่าน
เมื่อสักครู่นี้สวยเหลือเกิน อย่างกับตาของนางกินรี แต่พอออกจากตามาอยู่ที่ฝ่ามือ ปฏิกูลไหม แต่ท่านพระเถรีก็ใคร่ที่จะให้บุคคลผู้นั้นได้ประจักษ์ความเป็นปฏิกูล สภาพที่แท้จริงของร่างกาย ท่านก็ควักดวงตาออกจากเบ้าตา แล้วส่งให้นักเลงนั้น
ในทันใดนั้น ความกำหนัดในนัยน์ตาของนักเลงนั้น ได้หายไปแล้ว
จะยังคงรักดวงตา ๒ ดวงที่อยู่ในฝ่ามือนั้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นักเลงนั้นได้ขอให้พระเถรีนั้นอดโทษด้วยคำว่า
ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ขอความสวัสดีพึงมีแก่ท่าน การประพฤติอนาจารเช่นนี้ จักไม่มีอีกต่อไป
ความประพฤติอนาจาร คือ การประพฤติที่ไม่สมควร
ท่านพระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านกระทบกระทั่งชนเช่นนี้ เหมือนกอดไฟอันลุกโพลงฉะนั้น
นักเลงกล่าวว่า
เราดุจจับอสรพิษ ขอความสวัสดีพึงมีแก่เราทั้งหลายบ้าง ขอท่านจงอดโทษให้เราทั้งหลายเถิด
ก็พระภิกษุณีนั้นพ้นจากนักเลงนั้นแล้ว ได้ไปสู่สำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ได้ชมเชยบุญลักษณะอันประเสริฐ จักษุได้เกิดมีขึ้นเหมือนเดิม
นี่เป็นข้อความที่แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์จริงๆ ในครั้งโน้น แล้วท่านเหล่านั้นพิจารณาธรรมอย่างไร เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดสติ การระลึกได้ ไม่ประมาท แล้วก็เจริญสติเนืองๆ บ่อยๆ เท่าที่สามารถจะกระทำได้ในวันหนึ่งๆ ให้ถูกต้อง หน้าที่มีเท่านี้เอง ถึงจะได้ฟังธรรม พิจารณาธรรมแล้ว ก็เพื่อให้สติระลึกได้ พิจารณารู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เพียงเฉพาะมหาสติปัฏฐานสูตรอาจจะไม่ช่วย ไม่อุปการะเกื้อกูลให้สติเกิดขึ้น แต่ถ้าได้ฟังธรรมส่วนอื่นก็อาจจะทำให้น้อมใจมนสิการไปตามท่านที่ได้บรรลุธรรมแล้ว