ปัญญามีลักษณะอย่างไร
ท่านอาจารย์ ปัญญาต้องเป็นสิ่งที่มีจริงแน่นอน เพราะเราใช้คำนี้บ่อยๆ แต่เวลาที่เราพูดถึงปัญญา เหมือนกับเรารู้ เราเข้าใจแล้ว แต่ความจริงยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ เราขอยืมคำภาษาบาลีมาใช้ตามใจชอบใจ แต่เมื่อใดที่เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา เราถึงจะรู้ว่า ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือสภาพที่สามารถรู้ และเข้าใจธรรมทั้งหลายถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ นั่นคือปัญญา เช่น สภาพธรรม ไม่ว่าจะมีมากมายสักเท่าไรก็ตาม ในโลกนี้ นอกโลกนี้ สามารถจำแนกหรือแบ่งออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ๒ ลักษณะ คือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้ อย่างหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า รูปะ หรือรูปในภาษาไทย หมายความถึงสภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้ เช่น สิ่งที่แข็ง เราจะไปกระทบสัมผัสอย่างไร ลักษณะที่แข็งไม่สามารถจะรู้เลยว่า มีสิ่งที่แข็งมากระทบ สภาพใดๆ ก็ตามที่ไม่ใช่สภาพรู้ อย่างรส มีลักษณะหวาน แต่รสก็ไม่รู้ตัวเองว่า รสหวาน คือไม่มีลักษณะรู้อะไรทั้งสิ้น นั่นคือรูปธรรม
สำหรับสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นอาการรู้ เช่น ขณะที่กระทบสัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วรู้ว่าแข็ง มีอาการรู้ในลักษณะที่แข็ง นั่นคือสภาพรู้ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า นามธรรม หรือนามะ
เพราะฉะนั้น แยกธรรมออกเป็น ๒ อย่าง คือ นามธรรมฝ่ายหนึ่ง รูปธรรมฝ่ายหนึ่ง แค่นี้ก็ไม่ยากเกินไปที่เราจะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง และพิสูจน์ได้ทันที สามารถฟังแล้วพิจารณา และพิสูจน์ แล้วคิด ถ้ารู้คำจำกัดความของรูปธรรม คือสภาพที่มีจริง แต่สภาพนั้นไม่รู้อะไรเลย ส่วนนามธรรมเป็นสภาพรู้
ทุกคนถามตอบกันได้เลยใช่ไหมคะ เสียงเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม
ผู้ฟัง เสียงเป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ กลิ่น
ผู้ฟัง เป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ รส
ผู้ฟัง รสก็เป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ แข็ง
ผู้ฟัง แข็งก็เป็นรูปธรรม
ท่านอาจารย์ ง่วง
ผู้ฟัง ง่วงเป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ ง่วงเป็นนามธรรม โต๊ะนี่ไม่ง่วง โต๊ะไม่หิว ไม่เจ็บ ไม่ปวด ลักษณะที่จำเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมคะ
ผู้ฟัง เป็นนามธรรม
ท่านอาจารย์ วิธีเทียบง่ายๆ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เป็นรูปธรรม แต่สภาพอื่นนอกจากนั้นทั้งหมด ความรู้สึกเป็นสุข เป็นนามธรรม ความรู้สึกเป็นทุกข์ก็เป็นนามธรรม ความจำก็เป็นนามธรรม ปัญญาก็เป็นนามธรรม แต่ต่างจากความรู้สึก ความรู้สึกจำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกเท่านั้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ความจำได้แต่จำอย่างเดียว ทำอะไรไม่ได้ พอเห็นก็จำ ได้ยินก็จำ ได้กลิ่นก็จำ มีหน้าที่จำอย่างเดียว จำทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า สัญญาเจตสิก
สภาพธรรมใดก็ตามที่เกิดกับจิต มีลักษณะหน้าที่การงานต่างๆ ออกไป แต่ละอย่างๆ เป็นเจตสิกไม่ใช่จิต
เพราะฉะนั้น ปัญญาก็เป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นสภาพที่สามารถรู้ และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ อย่างได้ยิน รู้เสียงอย่างเดียว แต่ปัญญาสามารถรู้ว่า ได้ยินเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เป็นธาตุรู้เสียง การรู้อย่างนี้เป็นหน้าที่ของปัญญา แต่ว่ารู้เท่านี้อ่อนมากที่สุด เป็นปัญญาเล็กน้อยที่สุด นิดเดียว ทำอะไรไม่ได้ ดับกิเลสไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาเพียงขั้นการฟัง
เพราะฉะนั้น ปัญญาขั้นนี้จะละความไม่รู้ จะละความสงสัยจากการไม่เคยได้ยินได้ฟังเท่านั้นเอง แต่ว่ายังดับกิเลสหรือยังทำอะไรไม่ได้เลย แต่ให้ทราบว่า ปัญญามีต่างขั้นตั้งแต่ขั้นฟัง และขั้นพิจารณา อย่างเวลาที่ฟังว่า รูปธรรมไม่ใช่สภาพรู้ ก็จะมาพิจารณาว่า ที่เรายึดถือว่าเป็นเรา เรายึดถืออะไรว่าเป็นเรา ก่อนฟังพระธรรม เป็นเราทั้งนั้น พอฟังพระธรรม เราหายไปจากการฟังเข้าใจ รู้ว่าเป็นธรรมหมดทุกอย่าง แต่ว่าธรรมที่เรายึดถือว่าเป็นเรา ได้แก่อะไรบ้าง ทั้งนามธรรม และรูปธรรม ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า แขนเรา เท้าเรา มือเรา ตาเรา หูเรา ปากเรา ยึดถือรูปที่เกิดขึ้นว่าเป็นของเรา รูปนี้จะมาจากไหน อย่างไร ไม่สนใจ เพียงแต่มีแล้วก็เป็นของเราเลย
นี่คือการรวบรัดด้วยความไม่รู้ แล้วไม่คิด และไม่พิจารณาด้วยว่า รูปมาจากไหน ทำไมวันนี้รูปแข็งแรง แล้วรุ่งขึ้น หรือหลายปีต่อมา โรคภัยไข้เจ็บเกิดแล้ว และโรคร้ายๆ ก็มี รูปของเราหรือ ทำไมวันก่อนรูปเราแข็งแรง แล้ววันนี้รูปเราไม่แข็งแรง แต่พระธรรมที่ทรงแสดง รูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า บางกลุ่มเกิดจากกรรม บางกลุ่มเกิดจากจิต บางกลุ่มเกิดจากอุตุ คือความเย็นหรือความร้อน บางกลุ่มเกิดจากอาหาร
เพราะฉะนั้น ตลอดตัวมีรูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากจิต รูปที่เกิดจากอุตุ รูปที่เกิดจากอาหาร จึงไม่ใช่เรา กรรมทำให้รูปเกิด จิตทำให้รูปเกิด อาหารทำให้รูปเกิด ระหว่างที่ยังมีจิต และจะถึงวันหนึ่งซึ่งกรรมหยุดไม่ทำให้รูปนี้เกิดอีกต่อไป จิตนี้ดับ ไม่ทำให้รูปนี้เกิดอีกต่อไป ไม่มีการบริโภคอาหารอีกต่อไป เพราะฉะนั้น ก็ยังคงเหลือแต่ซากศพเท่านั้นเอง
นี่คือหมายแต่รูปที่เกิดมา ก็ไม่เคยพิจารณา ไม่เคยเข้าใจว่า เป็นอย่างไร มาอย่างไร ความไม่รู้ทำให้หลงติดว่าเป็นของเรา แต่ผู้มีปัญญาจะค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ รู้ความจริงว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเราจริงๆ ทุกสิ่งเกิดขึ้นชั่วขณะจิตแล้วก็ดับหมด ถ้าหมดแล้วก็หมด เหมือนไฟที่ดับ ไฟที่ดับไปแล้ว ใครจะไปตามว่า ไฟนั้นอยู่ที่ไหนก็ไม่มี ฉันใด สภาพของนามธรรม และรูปธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยก็ดับอย่างรวดเร็ว ฉันนั้น แต่เพราะไม่รู้ก็เลยยึดถือ และติดว่าเป็นเรา เมื่อมีเราแล้ว มีใครบ้างที่ไม่รักตัวตน มีใครบ้างที่ไม่ทำอะไรเพื่อตัวตน เพื่อสิ่งที่คิดว่าเป็นของเรา
เพราะฉะนั้น โลกยังคงวุ่นวาย และมีความทุกข์ มากด้วยอกุศล เพราะอวิชชา ความไม่รู้
ด้วยเหตุนี้ถ้าจะเข้าใจจริงๆ ปัญญาต้องอาศัยขั้นการฟัง และขั้นพิจารณา และถึงขั้นที่สติเกิดขึ้นทำกิจระลึกได้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติ ไม่ใช่เราทำ