การเดินจงกรมเป็นขั้นตอนหนึ่งของการปฏิบัติใช่ไหม
เราก็เดินกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ หรือเราไม่เคยเดิน แล้วเราต้องมาเดิน ข้อสำคัญที่สุดจากการฟังธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด และไม่ลืมว่า ธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เห็นขณะนี้เกิดแล้ว ได้ยินขณะนี้เกิดแล้ว คิดนึกขณะนี้เกิดแล้ว แม้แต่ปฏิสนธิจิตขณะแรกก็เกิดแล้ว และหลังจากที่ปฏิสนธิจิตขณะแรกก็ไม่มีใครสร้างไปทำ แต่ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ทุกอย่างให้ทราบว่า ไม่มีเราทำ หรือไม่มีใครทำ แต่เป็นปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ เดี๋ยวนี้ธรรม พิสูจน์เลย ทางตาที่กำลังเห็นมีแล้ว ต้องไปทำอะไรอีกหรือเปล่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามาจากไหน ถ้าไม่ใช่เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดรูป แม้แต่สภาพที่อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว เราจะเรียกว่า จักขุปสาท กายปสาท หรือจะเรียกอะไรก็ตาม ไม่ใช่ตัวเราที่ทำ มีพร้อมกับปฏิสนธิจิต กรรมทำให้ปฏิสนธิจิตซึ่งเป็นผลของกรรม เป็นจิตชาติวิบากเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก และกัมมชรูป
เพราะฉะนั้น เราเลือกรูปตอนเราเกิดได้ไหมคะ ขณะที่เกิดมีรูปเกิดร่วมด้วยแล้ว ในครรภ์ของมารดา ครั้งแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิดมีรูป ๓ กลุ่ม หรือ ๓ กลาป เกิดเพราะกรรม ไม่ใช่เพราะเราไปทำให้เกิด และธาตุไฟซึ่งมีอยู่ในรูป ๓ กลุ่มนั้นก็ต่างกันตามกรรม เพราะรูปนี้เกิดขึ้นเพราะกรรม
เพราะฉะนั้น รูปอื่นๆ ซึ่งทยอยเกิดสืบต่อตามมา ก็ทำให้รูปร่างสัณฐานของสัตว์ที่มีกรรมนั้นๆ เป็นไปตามกรรม จะตัวเล็กเท่ามด จะตัวใหญ่เท่าช้าง แต่ตอนเกิดเหมือนกันหมด คือ ปฏิสนธิจิตเกิดพร้อมเจตสิก และกัมมชรูป แต่กรรมที่ทำให้รูปเกิดสืบต่อกันมา ก็ทำให้เป็นสัตว์ บุคคล สูงต่ำดำขาวก็แล้วแต่ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ทั้งกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย นอกจากระลึกรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ เป็นรูปธรรมที่ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของเรา หรือเป็นเรา หรือเที่ยง
นี่คือประโยชน์ของการระลึกรู้ลักษณะของรูปที่เคยยึดถือว่าเป็นของเรา หรือเป็นเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เกิดพร้อมสติที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เลือกธรรมไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว พร้อมมีแล้ว มีแล้วทุกประการ เพียงแต่เมื่อระลึกก็ค่อยๆ เข้าใจถูกในลักษณะนั้นว่า สภาพนั้นเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม เพื่อละความเป็นเรา หรือของเรา
ขณะที่กำลังนั่งอย่างนี้ ยังไม่ต้องทำอะไร ก็มีรูปเกิดแล้ว และมีจิตเจตสิกเกิดด้วย และเราจะไปทำอะไร นอกจากรู้ตามความเป็นจริง โดยเข้าใจว่า ขณะใดที่สัมมาสติเกิดจะมีลักษณะอย่างไร ขณะที่หลงลืมสติต่างกับขณะที่สัมมาสติเกิดอย่างไร
นี่คือปัญญาโดยตลอด จุดประสงค์ของสติ และปัญญาที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม ๔ ซึ่งไม่มีเราเลยในอริยสัจธรรม ทุกขลักษณะไม่ใช่เรา แต่เป็นลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม สมุทัยสัจก็เป็นโลภะ สภาพที่ติดข้อง ก็ไม่ใช่ของเราอีก แล้วแต่มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นเมื่อไร ทางเป็นของเราหรือเปล่า หรือมรรคคือสติปัฏฐานก็แล้วแต่ว่า ถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย ก็ไม่มีปัจจัยให้สติระดับที่เป็นสติปัฏฐานจะเกิด
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นเพื่อละความไม่รู้ เพื่อละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพื่อประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความรู้เลย เราจะไปทำสติเกิดมาเพื่ออะไร ปกตินามธรรม และรูปธรรมทำอยู่แล้ว นามธรรมเกิดก็ทำหน้าที่ของนามธรรม แม้แต่มือที่เคลื่อนไหวไปก็ด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต เท้าที่ก้าวไปก็ด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิต ไม่มีเราต่างหากที่จะไปทำอะไรได้ แต่สภาพธรรมเกิดทำหน้าที่ของสภาพธรรมนั้น ถ้าปัญญายังไม่เกิด รู้ไม่ได้ แต่ถ้าปัญญาเกิด ปัญญานั่นเองเป็นสภาพที่เห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรม