หนทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมมีหลายทางใช่ไหม


    การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมต้องด้วยปัญญา เรื่องของพระธรรมหรือเรื่องการรู้แจ้งสัจธรรม คือ สภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปในขณะนี้ ต้องเป็นปัญญา

    นี่เราต้องยอมรับกันเป็นข้อๆ ก่อน ปัญญานั้นรู้อะไร ไม่ใช่ปัญญาเฉยๆ เราจะต้องพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจขึ้นว่า ปัญญาที่เรามุ่งหมายนั้น คือ ปัญญานั้นรู้อะไร จึงจะชื่อว่า รู้แจ้งอริยสัจธรรม ปัญญาต้องรู้สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้

    อันนี้ถูกต้องไหมคะ ในเมื่อสภาพธรรมในขณะนี้กำลังเกิดดับ สำหรับคนที่ปัญญาไม่เกิด กิเลสต้องเกิด เช่น พอเห็นแล้วก็ไม่รู้ เห็นแล้วก็ชอบ เห็นแล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือผู้ที่ปัญญาไม่เกิด

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะดับกิเลส ปัญญาต้องเกิดเมื่อเห็นแล้วรู้ว่า ขณะนี้เป็นเพียงสภาพธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้เท่านั้น เกิดแล้วดับด้วย แต่ขั้นต้น ปัญญาจะประจักษ์การเกิดดับไม่ได้ ปัญญาจะต้องสมบูรณ์ขึ้นเป็นขั้นๆ ที่เป็นวิปัสสนาญาณจะเริ่มตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ ชื่อยาว แต่คนไทยคุ้นกับบาลี ก็แปลย้อนจากหลังมาหาหน้า นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นความสมบูรณ์ของปัญญาที่ประจักษ์แจ้งการแยกขาดลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม เพราะนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม รูปธรรมไม่ใช่นามธรรม ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าปัญญาไม่เกิดจริงๆ แยกไม่ออก ติดกันแน่น เห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตา เหมือนได้ยินกับเสียง แยกไม่ออก เพราะสติไม่เกิด ไม่ระลึก ปัญญาไม่แคะ ไม่แซะ จนกระทั่งรู้ว่า สภาพรู้ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ คือ เสียง

    ถ้าปัญญาขั้นต้นอย่างนี้ไม่มี ปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งการเกิดดับก็มีไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จะกล่าวว่า หนทางเดียวหรือหลายหนทาง ในเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เอกายนมัค นี่เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคในมหาสติปัฏฐาน และเป็นผู้มีปกติระลึกได้ หลังที่ฟังแล้วว่า เป็นสภาพรู้ เมื่อไรเกิด เมื่อนั้นระลึกได้ แล้วค่อยๆ รู้ขึ้น จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ใครจะใช้วิธีไหนอย่างไรก็ตามแต่ ไม่เหมือนทางไปโรม หรือไม่เหมือนทางไปเชียงใหม่ แต่ปัญญาจะต้องรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจธรรม สัจธรรมก็กำลังปรากฏขณะนี้ด้วย


    หมายเลข 4428
    27 ก.ค. 2567