รู้สภาพจริงของสิ่งที่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เพราะว่าในพระสูตร หรือในที่ต่างๆ เวลาที่มีคำใด ท่านจะแสดงคำนั้นโดยประการต่างๆ โดยนัยของสมถะ โดยนัยของวิปัสสนา หมายความว่าเมื่อพูดถึงคำนั้นแล้วก็ได้กล่าวถึงคำนั้นโดยความหมายอื่นๆ ด้วย ซึ่งเราจะต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ขณะนั้นหมายความถึงอะไร เหมือนกับจิตตวิสุทธิ จะใช้คำว่า อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ ไม่ได้กล่าวถึงขณิกสมาธิ แต่ความจริงวิปัสสนาทั้งหมดเป็นขณิกสมาธิ ถ้าเข้าใจผิด ก็จะคิดว่า บัญญัติเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐานได้
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจถูกว่า สภาพธรรมที่มีจริงๆ มีลักษณะจริงๆ จึงจะเป็นสติปัฏฐานได้
ผู้ฟัง ที่ยังไม่เข้าใจ คือ คำว่ากาย เวทนา จิต ธรรมนั้น กายเป็นบัญญัติหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ คุณวิจิตรมีกายหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ลักษณะของกายเป็นอย่างไรคะ ถ้ามี หมายความต้องมีลักษณะที่สามารถจะรู้ได้ว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ กายมีลักษณะอย่างไร จึงบอกว่ามี
ผู้ฟัง ก็มีเย็น ร้อน อ่อน แข็ง
ท่านอาจารย์ นั่นแหละค่ะ ลักษณะนั้นเป็นบัญญัติหรือเปล่า หรือว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ เกิดแล้วดับด้วย
ผู้ฟัง ถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจว่า เป็นเย็น ร้อน อ่อน แข็ง แต่เวลาดูกายในกาย ให้ดูเกสา โลมา
ท่านอาจารย์ ใครให้ดู
ผู้ฟัง ให้พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ
ท่านอาจารย์ ใครให้พิจารณา
ผู้ฟัง ก็ในพระไตรปิฎก
ท่านอาจารย์ สิ่งใดที่มี สติสัมปชัญญะเกิด ก็รู้ในลักษณะนั้น แต่ไม่ได้บังคับ บังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา แต่สิ่งที่มี จะรู้ความจริงก็คือ รู้ความจริงของสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี
ผู้ฟัง รู้ความจริงของสิ่งที่มี อย่างเกสา ก็รู้ว่า นี่คือเกสา
ท่านอาจารย์ ไหนคะเกสา
ผู้ฟัง ก็นี่ไง
ท่านอาจารย์ แข็งใช่ไหมคะ เกสาแข็งหรือเปล่า ต้องใช้เกสาด้วย ผมก็ไม่ใช้ ถ้าพูดผม ก็ไม่ได้หรือคะ ต้องเกสา
ผู้ฟัง ก็ได้ แต่เดี๋ยวจะไม่เข้ากัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะเข้าใจธรรมด้วยภาษาอะไร ก็ควรใช้ภาษานั้น เมื่อมีคำว่า เกสา แล้วเข้าใจว่า เกสาคือผมก็จริง แต่ขณะไหนที่ผมกำลังเป็นอารมณ์ของสติสัมปชัญญะ ต้องรู้ ไม่ใช่ไปนึกถึงคำ แล้วก็บอกว่า เป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่ค่ะ ต้องมีลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ จึงจะรู้ว่า ลักษณะนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ ลักษณะนั้นปรากฏ เมื่อมีสภาพที่กำลังรู้พร้อมสติสัมปชัญญะที่กำลังรู้ด้วย